สวัสดีครับ จากที่ฉบับที่แล้วได้เขียนถึงพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาในระบบโรงเรียนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาในฉบับนี้ก็จะมาเขียนหรือเล่าต่อถึงพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาที่เหลือของพระองค์ท่านให้ทราบกันว่ามีอะไรอีกบ้าง ได้แก่ พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษานอกโรงเรียน โครงการสารานุกรมสำหรับสารานุกรม และ ทุนพัฒนาบุคคล
“การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้
ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล
หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว
สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้
และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงตระหนักว่าการศึกษาของเยาวชนนั้นเป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ
พระราชกรณียกิจด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน
พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียนนั้น เรียกได้ว่า
ทรงเป็นพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา
เพราะพระองค์ตระหนักดีว่ารากฐานที่สำคัญของประเทศชาติคือการที่พสกนิกรหรือลูกๆของท่านจะต้องมีความรู้ความสามารถที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
พระองค์จึงทรงริเริ่มโครงการเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบเพื่อให้ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาทั้งหลายได้มีความรู้ความสามารถเพื่อนำไปประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข
- ศาลารวมใจ
ทรงจัดตั้ง “ศาลารวมใจ” เพื่อใช้เป็นห้องสมุดประจำหมู่บ้านสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
โดยได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างศาลารวมใจ
นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานหนังสือประเภทต่างๆที่มีเนื้อหาสาระอ่านเข้าใจง่ายไว้ให้กับศาลารวมใจอีกด้วย
โดยในปัจจุบันมีศาลารวมใจอยู่ทั่วแทบจะทุกหนแห่งในประเทศไทย
บ้างก็เป็นศาลารวมใจที่พระองค์ท่านทรงเป็นผู้ก่อตั้ง
บ้างก็เป็นโครงการที่สานต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
หรือแม้แต่พระราชวงศ์องค์อื่นๆก็ทรงสานต่อโครงการศาลารวมใจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเช่นกัน
- โรงเรียนพระดาบส
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สำนักพระราชวังเช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บริเวณตรงข้ามหอสมุดแห่งชาติ
เพื่อสร้างเป็นโรงเรียนสำหรับฝึกวิชาชีพโดยทรงมีพระบรมราโชบายให้ดำเนินการเป็นแบบอาศรมพระดาบส
และมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
โดยต้องการให้จุดประสงค์ของการเรียนเป็นไปเพื่อการประกอบอาชีพเท่านั้นไม่ต้องนำคุณวุฒิทางด้านการศึกษาไปเทียบกับราชการ
โรงเรียนพระดาบสได้เปิดอบรมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2519
ในหลักสูตรช่างไฟฟ้า และ ช่างวิทยุ
โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานในภาครัฐและเอกชนในการส่งครูอาสาสมัครเข้ามาทำการสอนในหลักสูตรดังกล่าว
นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานทรัพย์ที่ได้จากการทูลเกล้าฯถวายเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี
พ.ศ. 2518 จำนวน 2,572,000 บาท เป็นเงินทุนในการดำเนินการต่างๆของโครงการพระดาบส
และทรงรับสั่งให้นำเงินส่วนเหลือไปฝากธนาคารเพื่อนำดอกผลไปใช้ในการดำเนินการกิจการของโครงการในภายภาคหน้าอีกด้วย
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เป็นศูนย์การศึกษาที่เป็นศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้าทดลองวิจัยและแสวงหาแนวทางการพัฒนาทางด้านต่างๆที่เหมาะสมและต้องมีความสอดคล้องกับอาชีพของราษฎรที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศนั้นๆ
โดยในปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีทั้งหมด 6 ศูนย์กระจายอยู่ใน
4 ภูมิภาค
ดังนี้
1.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดนราธิวาส
2.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดสกลนคร
3.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดจันทบุรี
4.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดเชียงใหม่
5.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดเพชรบุรี
6.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดฉะเชิงเทรา
- โครงการพระราชดำริต่างๆ
เป็นการให้ความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆของกรมการศึกษานอกโรงเรียน
ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 โดยสามารถแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น
10 โครงการ ดังนี้
1.
โครงการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
2.
โครงการพัฒนาชุมชนตำบลบ้านจันทร์
3.
โครงการพัฒนากลุ่มห้วยแม่เพรียง
4.
โครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน
5.
โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง
6.
โครงการศิลปาชีพ
จังหวัดสกลนคร
7.
โครงการพัฒนาที่ราบเชิงเขา
จังหวัดปราจีนบุรี
8.
โครงการสวนป่าเปิดเขาเขียว
9.
โครงการศิลปาชีพเพื่อความมั่นคง
จังหวัดแม่ฮ่องสอน
10. โครงการอาศรมวัดญาณสังวราราม
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชปรารภว่า
การเรียนรู้เรื่องราวและวิชาการสาขาต่างๆจะก่อให้เกิดความรู้ ความคิด และความฉลาด
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
เพราะฉะนั้นทุกคนควรมีโอกาสที่จะศึกษาผ่านทางช่องทางใดก็ได้ที่จะสามารถเพิ่มพูนสติปัญญาให้ตนเองมีความรู้สามารถนำไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวพระองค์จึงมีพระราชดำรัสให้จัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
และทรงได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับโครงการสารานุกรมไทยไว้ว่า
“... เราต้องให้ความรู้กับเด็กและคนรุ่นต่อไปอย่างที่เราจะสามารถทำได้
จึงพูดถึง สารานุกรมฯ นี้จะทำให้เราแก้ปัญหาของเราได้ส่วนหนึ่ง
ที่จริงมีวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่นด้วย แต่ว่า เราต้องเลือกทำขอเลือกทำสารานุกรม
สารานุกรมไม่ใช่ครู แต่ว่าจะช่วยให้คนอื่นที่ไม่ได้เป็นครูได้ เช่น พ่อ แม่
ถ้าลูกถามปัญหาต่าง ๆ ก็อาศัยสารานุกรมนี้มาตอบได้
คนที่อ่านรู้เรื่องมากกว่าจะสอนน้องได้
แล้วการที่ดูสารานุกรมด้วยกันในครอบครัวจะช่วยให้เกิดความใกล้ชิดในครอบครัว
จะช่วยให้ลูกไว้ใจพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ระหว่างเด็กด้วยกันหรือคนที่อ่านสารานุกรมด้วยกัน
ก็จะคุยกันในวิชาการได้จะเกิดความรู้และจะเกิดความสามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกัน
การแลกเปลี่ยนความคิดและแลกเปลี่ยนทัศนะกันนี้เป็นทางที่จะทำให้มีความรู้ความกว้างขวางและจะทำให้อยากที่จะรู้มากขึ้น
ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการศึกษา ...”
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
สามารถแบ่งวิทยาการออกได้เป็น 4
สาขาวิชา คือ วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์
อันเป็นศาสตร์การศึกษาที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
โดยเนื้อหาในหนังสือสารานุกรมจะแบ่งออกเป็น 3 ตอนตามระดับความรู้
เพื่อให้ผู้อ่านที่มีความรู้ทั้ง 3 ระดับได้อ่าน ดังนี้
- ตอนที่ 1: ใช้ภาษาง่ายๆ เนื้อหาจะไม่ซับซ้อนมาก และจะใช้ตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับเด็กรุ่นเล็กอายุ 8-12 ขวบ ในการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
- ตอนที่ 2: เนื้อหาเริ่มยากขึ้นมาตามความเหมาะสมและความรู้ของเด็กในวัย 12-14 ขวบ
- ตอนที่ 3: มีเนื้อหาค่อนข้างยาก การใช้ภาษาตลอดจนวิธีการเขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้จะมีความซับซ้อนตามระดับอายุและความสามารถของผู้อ่านที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการเขียนหนังสือในโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนไว้อีกว่า
“... สารานุกรมเล่มนี้มีไว้ไม่ใช่สำหรับสอนหนังสือใดโดยเฉพาะ
แต่ว่ามีไว้สำหรับให้คนสามารถ ที่จะเผชิญกับปัญหาใด ๆ ในชีวิต...คือว่าโครงการสอนอย่างไรก็ตามต้องสอนให้คนรู้จักเผชิญกับปัญหาไม่ใช่สอนสำหรับให้คนมาตอบปัญหาต้องให้ทุกคนทั้งเยาวชนทั้งคนแก่
ทราบว่าวิชาทั้งหลายต้องโยงกันและปัญหาทั้งหลายต้องใช้วิชาทุกวิชาโยงกันมาแก้ให้สอดคล้องกัน
มิฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ถ้าเรียนวิชาหรืออ่านวิชาอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วก็ท่องได้ตามตัวหนังสือไม่มีประโยชน์เลย
ต้องสามารถคิดมาใช้เป็นประโยชน์ แต่เมื่อมาใช้ประโยชน์จะต้องโยงกับวิชาอื่นได้หมด
...”
ทุนพัฒนาบุคคล
- ทุนมูลนิธิ “ภูมิพล”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงจัดตั้ง “ทุนภูมิพล” ให้แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษาแพทยศาสตร์ที่เรียนดีแต่ขัดสนในเรื่องของทุนทรัพย์
นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานเงินหมุนเวียนเริ่มแรกเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาให้แก่นิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีคะแนนสอบยอดเยี่ยมในสาขาวิชาต่างๆเพื่อเป็นกำลังใจแก่นิสิตนักศึกษาที่มีความมานะอุตสาหะในการศึกษา
- ทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล”
พระองค์ทรงตระหนักดีว่าประเทศไทยของเรายังต้องการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในวิชาเทคนิคชั้นสูง
เพื่อมาช่วยพัฒนาประเทศ จึงเห็นควรว่าควรมีการส่งเสริมนิสิตนักศึกษาที่มีความสามารถให้มีโอกาสไปศึกษาต่อในวิชาชั้นสูงในต่างประเทศ
เพื่อที่จะได้นำวิทยาการเหล่านั้นกลับมาพัฒนาประเทศชาติต่อไปในภายภาคหน้า
จึงโปรดเกล้าฯให้พระราชทาน “ทุนอานันทมหิดล” ในปี พ.ศ. 2498 โดยเริ่มจากการพระราชทานทุนให้แก่นักศึกษาในสาขาวิชาแพทยศาสตร์
เพราะทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศจำต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
เพื่อเจริญรอยตามพระยุคลบาทของสมเด็จพระบรมราชชนกและเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ต่อมาในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.
2502 ได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จดทะเบียนตราสารทุนอานันทมหิดลเป็น
“มูลนิธิอานันทมหิดล” ซึ่งในปัจจุบันทุนอานันทมหิดลได้ขยายขอบเขตการพระราชทานทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาสาขาต่างๆ
คือ สาขาแพทยศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเกษตรศาสตร์
นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา วารสารศาสตร์ และอักษรศาสตร์
โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการประจำแต่ละสาขาคอยคัดเลือกบัณฑิตที่มีความสามารถในแต่ละสาขาดังกล่าวไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ
แล้วกลับมาพัฒนาประเทศชาติในภายหลังอันเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านในการจัดตั้งทุนนี้
โดยทุนนี้เป็นทุนให้เปล่าไม่มีสัญญาผูกมัดใดๆ
เพราะทรงต้องการให้ผู้ที่ได้รับทุนได้เกิดความสำนึกและมีความรับผิดชอบได้ด้วยตัวเองในการตอบแทนคุณแผ่นดิน
- ทุนเล่าเรียนหลวง (King’s Scholarship)
เป็นทุนการศึกษาที่ใช้ระบบการสอบแข่งขันคัดเลือกหาผู้ที่เหมาะสมกับทุนดังกล่าว
โดยถูกริเริ่มก่อตั้งครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
ในปี พ.ศ. 2440 แต่ได้มีการยุติไปหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี
พ.ศ. 2476
ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชปรารภให้ฟื้นฟูทุนเล่าเรียนหลวงขึ้นมาใหม่
โดยมีการประกาศใช้ “ระเบียบ ก.พ.
ว่าด้วยทุนเล่าเรียนหลวง พ.ศ. 2508” โดยเป็นทุนพระราชทานแก่นักเรียนที่สอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการได้คะแนนดีเยี่ยมปีละ
9 ทุน คือแผนกศิลปะ 3 ทุน แผนกวิทยาศาสตร์ 3 ทุน และแผนกทั่วไป 3 ทุน
ให้ไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งนี้ทรงมีพระราชประสงค์ให้ผู้รับทุนได้ศึกษาวิชาการ
และได้รับการอบรมให้รู้และเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวตะวันตกประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา
อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ ไปด้วย เพราะอายุยังน้อย อยู่ในวัยที่สามารถช่วยตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับสังคมตะวันตกได้
- ทุนการศึกษาสงเคราะห์ในมูลนิธิราชประชานุเคราะห์
เป็นทุนการศึกษาที่จัดตั้งภายใต้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์
เพื่อสงเคราะห์เด็กที่ครอบครัวประสบวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี 2505 อีกทั้งยังนำเงินมาใช้ในการสร้างสถานสงเคราะห์รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กๆที่ไร้ที่พึ่งเพราะสูญเสียพ่อแม่หรือญาติพี่น้องจากภัยพิบัติดังกล่าว
โดยชื่อทุน “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” มีความหมายมาจากคำว่า “พระราชา” และ
“ประชาชน” อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน
เป็นการสื่อโดยนัยว่าความสัมพันธ์กษัตริย์กับประชาชนไม่สามารถแยกออกจากกันได้
และยังทรงโปรดเกล้าฯให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยให้จดทะเบียนนิติบุคคลเมื่อวันที่
23 สิงหาคม พ.ศ. 2506
โดยในปัจจุบันมูลนิธิฯ
ยังคงทั้งเป็นที่รับอุปการะเด็กจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์
และคัดเลือกเด็กให้ได้รับทุนพระราชทานดังกล่าว
โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
- ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย
ในปี พ.ศ. 2499 โรคเรื้อนกำลังระบาดอยู่ในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ก่อสร้างสถาบันวิจัยค้นคว้าเรื่องโรคเรื้อน และพระราชทานนามสถาบันว่า
“ราชประชาสมาสัย” ต่อมาทางสถาบันได้มีการขอจดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิราชประชาสมาสัยขึ้น
และได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาให้ทรงรับมูลนิธิไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชกระแสตอบกลับว่า ถ้าจะขอให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
มูลนิธิจะต้องเพิ่มวัตถุประสงค์อีกข้อว่าจะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับบุตรผู้ป่วยที่เลี้ยงแยกจากบิดามารดาแต่แรกเกิด
ดังพระราชดำริที่พระราชทานถึงการก่อตั้งโรงเรียนว่า
“… การที่ดำริสร้างสถานศึกษานี้ขึ้น
ก็เพื่อจะได้ช่วยเหลือเด็กผู้พลอยประสบเคราะห์กรรมให้มีสถานที่เล่าเรียน
ซึ่งโดยธรรมชาติควรมีสิทธิที่จะกระทำสิ่งใดได้เช่นผู้อื่น
การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่โชคชะตาบันดาลให้ต้องเกิดมาในภาวะเช่นนี้ย่อมเป็นกุศลและเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ
เพราะเด็กเช่นว่านี้เมื่อได้รับการศึกษาอบรมด้วยดีเติบโตขึ้นก็จะเป็นพลเมืองที่ดีเป็นประโยชน์แก่ตนเองและชาติบ้านเมืองในอนาคต
…”
- ทุนนวฤกษ์
เป็นทุนการศึกษาที่ถูกริเริ่มก่อตั้งขึ้นมาด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยนักเรียนผู้ขาดแคลน
ที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดีในพระบรมราชูปถัมภ์
ให้ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาต่อในระดับต่างๆไม่ว่าจะเป็นประถมศึกษา มัธยมศึกษา
อาชีวศึกษา ฝึกหัดครู และอุดมศึกษา
นอกจากนี้ยังทรงนำเงินจากผู้บริจาคทรัพย์ทั้งหลายไปสมทบทุนก่อสร้างโรงเรียนตามวัดในชนบททั้งระดับประถมและมัธยมศึกษา
เพื่อเป็นการสงเคราะห์เด็กยากจนและกำพร้าให้มีสถานที่สำหรับการศึกษาเล่าเรียน
โดยอาราธนาพระภิกษุมาเป็นครูผู้สอนในวิชาสามัญศึกษาที่ไม่ขัดต่อพระวินัยและอบรมศีลธรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการศึกษาให้แก่เด็ก
- ทุนการศึกษาพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะกรณี
1. ทุนพระราชทานแก่นักเรียนชาวเขา: เป็นทุนการศึกษาที่ทางกรมสามัญศึกษาขอพระราชทานจัดให้แก่นักเรียนชาวเขาที่ได้ทำมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2514 นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กๆชาวเขาทั้งหลายแล้ว
ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างชาวเขาและชาวไทยได้ดีอีกด้วย
เพราะจะทำให้ชาวเขาได้มีโอกาสใช้ภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อที่จะกลับไปช่วยพัฒนาชุมชนท้องถิ่นชาวเขาของตัวเอง
2. ทุนพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะสถานศึกษา:
เป็นทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม
แต่ขาดทุนทรัพย์ในการเรียนในโรงเรียนในพระองค์และโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
อาทิเช่น โรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนวังไกลกังวล โรงเรียนราชวินิต
และโรงเรียนราชประชาสมาสัย
3. รางวัลพระราชทานแก่นักเรียนและโรงเรียนดีเด่น:
จากพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ที่ว่า
“… มีนักเรียนจำนวนมาก
ซึ่งมีความประพฤติดีและมีความมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนได้ผลดี
รวมทั้งโรงเรียนซึ่งจัดการศึกษาดี
นักเรียนและโรงเรียนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวสมควรจะได้รับพระราชทานรางวัล …”
กระทรวงศึกษาธิการจึงเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาจัดทำรางวัลพระราชทานต่างๆในปี
2508 โดยมีรางวัลพระราชทานแก่นักเรียนประถมศึกษาในภาคการศึกษาทั้ง
12 ภาค ภาคละ 1 คน
รางวัลสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา รางวัลพระราชทานสำหรับโรงเรียนดีเด่น
และนี่ก็เป็นพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาที่เหลือทั้งหมดของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา และอยากให้ลูกของท่านทุกคนมีการศึกษาที่ดี
มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะสามารถนำมาประกอบสัมมาอาชีพได้
และเป็นประชาชนที่ดีของแผ่นดิน
ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติได้อย่างสูงสุดในภายภาคหน้า
"ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย...ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดมิได้"
#ทีมงานCPSydney
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น