วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขึ้นก่อนไม่รอละนะ Visa Application Fee Increase และเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์กับ No Further Stay Condition!!

กลับมาเจอกันเร็วหน่อยนะจ๊ะเด็กๆ สำหรับบทความในรอบนี้ของน้าหนวด...ก็ฉบับที่แล้วได้เขียนเกี่ยวกับ Designated Area Migration Agreement (DAMA) ที่เป็นข่าวดีสำหรับโอกาสในการยื่นขอ PR ไป (ตามวาร์ปไปย้อนอ่านกันตามอัธยาศัยกันได้ที่ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/06/pr-designated-area-migration-agreement.html นะจ๊ะ) มาในฉบับนี้ก็เป็นคิวของข่าวร้ายกันบ้างละแหล่ะ แล้วก็รวมถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอยากจะมาแจ้งเตือนในฉบับนี้ให้ได้อ่านกันครับ

รวบรัดฉับไวตามหัวข้อที่จั่วไว้เลย คือ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ "ค่าวีซ่าประกาศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ" ก็เท่านั้นเอ๊งงง เอาเข้าจริงแล้วถ้าได้อ่าน VisaTalk by CPSydney หรือติดตาม Facebook Page https://www.facebook.com/cpsyd/ ของเราเป็นประจำ การขึ้นค่าวีซ่าในรอบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นะ เพราะเราได้มีทั้งโพสต์และเขียนเกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ในฉบับของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/05/tourist-visa-pr-regional-areas.html จะมีแค่อาจจะเซอร์ไพรส์นิดหน่อยด้วยความที่ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นราคาจริงๆตามที่เป็นข่าวแค่นั่นแหล่ะ แต่ตอนนี้ฟันธงคอนเฟิร์มแล้วนะครับว่า "เพิ่มแน่นอน" ไม่ต้องห่วง555 จากการประกาศในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว โดยจะให้ราคาใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2019 นี้เป็นต้นไปครับ แต่ในความโชคร้ายนี้ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่นิดๆก็คือ
  1. ค่า Visa application fee สำหรับวีซ่าท่องเที่ยว subclass 600 ยังอยู่ที่ราคาเดิม
  2. Visa application fee ที่ถูกปรับขึ้นทั้งหมด จะเพิ่มขึ้นแค่เพียง 5.4% จากราคาเดิมเท่านั้น
น้าได้ลองทำสรุปคร่าวๆสำหรับค่าวีซ่าราคาใหม่ที่จะเริ่มใช้ในสัปดาห์นี้มาให้ได้ดูกัน ก็จะเอามาเฉพาะวีซ่าที่คนไทยอย่างเรายื่นกันอยู่บ่อยๆเท่านั้นนะครับ แต่ถ้าขาดวีซ่าตัวไหนไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ไว้ด้วยนะจ๊ะ อันนี้แค่สรุปมาให้จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ และที่สำคัญเตรียมเงินกันได้ถูก สำหรับคนที่ไม่สามารถยื่นวีซ่าได้ทันภายในเวลา 23.59 น. ของวันที่ 30 มิถุนายนที่จะถึงนี้
**อนึ่ง ราคาที่สรุปมานี้แค่การคำนวณคร่าวๆจากเรทเดิมที่แจ้งว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้น 5.4% นะจ๊ะหลานๆ อาจจะมีคลาดเคลื่อน หรือผิดพลาดไปบ้าง...เดี๋ยวคงต้องรอประกาศยืนยันในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้อีกทีนึงนะครับ
จากตารางที่ทำสรุปมาให้ หนักสุดก็คงจะหนีไม่พ้น Partner visa นั่นแหล่ะ ถึงแม้จะขึ้นราคาแค่เพียง 5.4% แต่ด้วยราคาต้นทุนที่มีราคาสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ทำให้ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมีราคาสูงไปด้วย เช่นเดียวกันกับตัว General Skilled Migration ประเภทต่างๆก็มีราคาสูงขึ้นพอสมควรอันเนื่องมาจากราคาวีซ่าเรทเดิมที่มีราคาสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

จบเรื่องแรกที่ตรงนี้...ไปต่อเรื่องที่ 2 กันเลย!!

ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเหมือนกัน ก็คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ประมาณสัปดาห์ที่แล้ว หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของเราได้รับการติดต่อมาจากน้องคนนึง ขอให้นาสมมติว่า "น้องตุ้ม" ละกัน โดยน้องได้สอบถามเข้ามากับทางเราว่า "สามารถทำอะไรได้บ้างไหม ในกรณที่เพิ่งมารู้เอาวันสุดท้ายว่าวีซ่านักเรียนของตัวเองติดเงื่อนไข No Further Stay"

ตอบชัดๆ ตัวโตๆ ตรงนี้ว่า ... "ไม่ได้ครับ"

มาขยายความต่อตรงนี้ คือ ถ้าติดเงื่อนไข NO FURTHER STAY ไม่ว่าจะเป็นในวีซ่านักเรียน (condition 8534) หรือวีซ่าท่องเที่ยว (condition 8503) ก็ต้องกลับไปยังประเทศตัวเองแล้วค่อยยื่นวีซ่ามาใหม่สถานเดียวในกรณีที่ยังต้องการจะยื่นวีซ่ากลับมาที่ออสเตรเลียอีก แต่ทว่า บางคนอาจจะเคยได้ยินว่าสามารถขอยกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ได้...ใช่ จริงครับ อันนี้ไม่เถียง...งงป่ะ555 คือ ถ้าจะขอยกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ได้อ่ะ มันต้องเป็นเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ แบบว่าคอขาดบาดตายสุดๆ ถึงจะขอได้ ซึ่งมันมีโอกาสน้อยมากถึงน้อยที่สุดที่จะขอยกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ได้ แล้วก็ร้อยทั้งร้อยแหล่ะที่เหตุผลยังไม่เพียงพอที่จะให้เขายกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ อีกอย่างคือการขอยกเลิกเนี่ยะ มันต้องทำล่วงหน้า ไม่ใช่มาทำเอาวันสุดท้าย มันไม่เหมือนการยื่นวีซ่าในออสเตรเลียที่หลังจากยื่นปุ๊บ เราจะได้ Ackonwledgement Letter และ Briding Visa A มาจากอิมมิเกรชั่นโดยอัตโนมัติ

วนกลับเข้าเรื่องของน้องตุ้มกันต่อ...คือ น้องได้วีซ่านักเรียนมาตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่วีซ่านักเรียนตัวปัจจุบัน subclass 500 ยังไม่ได้เริ่มใช้ ทำให้น้องมีเงื่อนไข 8534 ห้อยท้ายมาด้วย (ในปัจจุบัน ถ้าใครถือวีซ่านักเรียน subclass 500 ก็ไม่ต้องกังวลกันสักเท่าไหร่ เพราะเงื่อนไข 8534 ไม่ได้มีในวีซ่านักเรียนอีกต่อไปแล้ว...แต่เอาจริงๆนะ เหมือนก็ยังจะมีหลุดมาบางเคสที่ติดเงื่อนไขนี้มาอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเอาให้ชัวร์ ก็เช็คหน้าวีซ่าตัวเองทุกครั้งนะครับว่ามีเงื่อนไขนี้อยู่ในวีซ่านักเรียนของตัวเองรึเปล่า) ซึ่งน้องก็ใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งในวันที่ 7 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมา น้องก็ได้รับข่าวไม่ดีจากทางเอเจนท์ G (นามสมมติ) ของน้องว่า ไม่สามารถยื่นวีซ่าให้น้องได้ เพราะมันเป็น invalid application ก็เลยถึงบางอ้อกันว่า "อ๋อ น้องตุ้มมีเงื่อนไข 8534 อ่ะค่ะ" คราวนี้ปฏิบัติตามล่าหาความจริงของน้องตุ้มก็ได้อุบัติขึ้น แล้วก็ทำให้น้องได้ค้นพบความจริงว่า ที่จริงเอเจนท์ G ได้พยายามยื่นวีซ่าให้น้องตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาและก็ทราบว่ามันเป็น invalid application ตั้งแต่วันนั้น รวมถึงอีกประเด็นที่น้าเองก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า ทำไมน้องตุ้มไปตรวจสุขภาพได้ในวันที่ 3 มิถุนายนโดยที่ไม่มีใบ eMedical แนบไป แต่น้าก็ไม่ได้ถามต่อในประเด็นนี้ แค่มีบอกน้องตุ้มไปว่ามันแปลก เพราะปกติจะต้องมีเอกสารตัวนี้แนบไปด้วยทุกครั้งถึงจะตรวจสุขภาพได้

อ่าววว แล้วทีนี้ยังไงต่อ...น้องตุ้มก็เลยติดต่อเราเข้ามาว่าสามารถทำอะไรบ้างไหม ซึ่งก็ตามที่อธิบายไปข้างต้นเนอะ ในกรณีนี้ไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ เราก็ได้แต่แนะนำให้น้องเดินทางกลับภายใน 28 วันหลังจากที่วีซ่าหมด "ทำไมต้องภายใน 28 วัน?" คือ ถ้ากลับภายใน 28 วัน น้องตุ้มจะไม่ถูกแบน 3 ปีจากการทำผิดเงื่อนไขของวีซ่า 8534 ครับ แต่ถ้าเลย 28 วันไปแม้แต่วันเดียวปุ๊บ ก็จะโดนแบน 3 ปีอีกด้วย เรียกได้ว่า #พังในพังยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน้องตุ้มจะค่อนข้างรับฟังในคำแนะนำนี้ ไม่เลือกที่จะเป็นผีแต่อย่างใด แต่ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายน้องตุ้มตัดสินใจไปยังไงเหมือนกันนะ เพราะหลังจากที่ได้คุยกับน้องมาเกือบอาทิตย์นึงก็ยังไม่ได้ถามน้องเหมือนกันว่าสุดท้ายน้องตัดสินยังไง...ได้อัพเดทกันล่าสุดแค่ว่า เอเจนท์ G แนะนำให้น้องยื่นวีซ่าลี้ภัย (อีกแล้ว) น้าหล่ะอยากจะบ้ากับคำแนะนำห่วยๆแบบนี้จริงๆเลย ให้ตายดิ้น เดชะบุญที่น้องตุ้มตัดสินใจที่จะไม่ทำวีซ่าตัวนี้ รวมถึงต้องการจะดำเนินเรื่องลาออกจากโรงเรียนที่ได้สมัครไปก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการแจ้งจากโรงเรียนว่า ยังไม่ได้เอกสารใดๆจากทางเอเจนท์ G ของน้องตุ้ม น้าก็หวังว่าน้องตุ้มจะได้รับข่าวดีเร็วๆนี้นะ

คือที่มาเขียนให้อ่านกันวันนี้ คือ ต้องการที่จะเตือนให้เป็นอุทาหรณ์นะ ไม่ได้จะมานั่งเทียนเขียนโจมตีเอเจนท์สมมติของน้องแต่อย่างใด...ใช่ จริงอยู่ว่ากรณีนี้มันก็เป็นความผิดพลาดของเอเจนท์ G ด้วย ที่ไม่ได้เช็คเงื่อนไขของวีซ่าน้อง แล้วบอกน้องตุ้มตั้งแต่เนิ่นๆ แต่กลับกัน น้าก็ได้บอกกับน้องตุ้มเหมือนกันว่าอีกส่วนหนึ่งมันก็คือความรับผิดชอบของเราเช่นเดียวกัน เพราะเอกสารมันเป็นชื่อของน้องเอง ไม่ใช่ชื่อเอเจนท์ จริงอยู่ว่าน้องให้เอเจนท์ช่วยดำเนินการ น้าถึงบอกไงครับว่ามันก็เป็นความผิดพลาดของเอเจนท์ด้วย และก็ไม่ได้มีเจตนาจะซ้ำเติมน้องแต่อย่างใดที่แนะนำไปอย่างนั้นที่ว่าส่วนหนึ่งมันต้องเป็นความรับผิดชอบของตัวน้องเอง อิมมิเกรชั่นเขาไม่ได้สนใจหรอกว่าน้องเป็นผู้ถูกกระทำในกรณีนี้ (ถึงแม้ว่ามันจะจริง) แต่อย่างที่บอกไปว่าเอกสารมันเป็นชื่อน้อง คงจะมาขอความเห็นใจจากอิมฯในกรณีนี้ก็คงจะยาก






อีกอย่างที่น้าไม่ชอบเอามากๆเลยก็คือ การที่เอเจนท์ G แนะนำให้น้องยื่นขอวีซ่าลี้ภัย ถามว่าผิดไหมที่แนะนำแบบนี้ ถ้าให้ตอบในแง่วิชาชีพ ก็หาข้อถูกไม่เจออ่ะ รู้อยู่แก่ใจกันอยู่แล้วยื่นไปยังไงก็ไม่ผ่าน ได้แค่ซื้อเวลา เพราะวีซ่าลี้ภัยยังจะสามารถยื่นในประเทศออสเตรเลียได้ ถึงแม้ว่าจะติดเงื่อนไข NO FURTHER STAY ก็ตาม (อันนี้น่าจะเป็นจุดเดียวที่หาข้อถูกให้ได้) แต่ถ้าถามถึงผลลัพธ์ ก็ขอไม่พูดละกันเนอะ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากมายอยู่แล้ว เอาเป็นว่าถ้าตัวคนที่ตัดสินใจยื่น ทราบถึงผลลัพธ์เป็นอย่างดีโดยละเอียดถ่องแท้ก่อนที่จะยื่น แล้วรับได้ มันก็ win-win แหล่ะ แต่ถ้าโดนหลอกให้ยื่นอันนี้ก็อีกเรื่องนึง...นิดนึงก่อนจบละ คือ วีซ่าลี้ภัย มันสำหรับคนที่ไม่สามารถกลับไปประเทศของตัวเองได้ ตัวอย่างก็เคสของฮาคีมที่ไปติดคุกที่บ้านเรามาหมาดๆ หรือว่าในประเทศนั้นๆกำลังมีปัญหาร้ายแรงทางการเมืองอยู่ ย้ำนะว่าปัญหาร้ายแรงทางการเมือง ไม่ใช่ภัยธรรมชาตินะโว้ยยย ซึ่งเราต่างก็รู้กันดีว่าตอนนี้ประเทศไทยบ้านเรามันยังไม่ได้หนักหรือร้ายแรงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางได้วีซ่าตัวนี้มาถาวรอยู่แล้ว ถึงแม้ระหว่างรอผลจะมีประโยชน์ต่างๆล่อตาล่อใจอยู่มากมาย แต่ลองคิดดูนะว่าถ้าวันนึงประเทศเรากลายเป็นประเทศที่ต้องลี้ภัยขึ้นมาจริงๆ วันนั้นหลานๆผู้อ่านทั้งหลายจะดีใจหรือเสียใจ

ก็หวังว่าบทความในฉบับนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้หลายๆคนได้บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งในเรื่องของเงื่อนไข NO FURTHER STAY และก็ค่าวีซ่าที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้... จริงๆ จุดประสงค์หลักของฉบับนี้คือจะมาแจ้งเตือนเรื่องค่าวีซ่านะ555 แต่ timing มันได้พอดีที่เราได้รับการติดต่อเข้ามาของน้องตุ้ม เลยได้หยิบยกตัวอย่างเคสของน้องมาให้ได้อ่านกัน ก็จะได้เอาเป็นข้อมูลในการพิจารณาเลือกใช้เอเจนท์ด้วย

จบสวยๆด้วยช่องทางการติดต่อของ CPSydney office กันเหมือนเดิม...สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับ Migration agent ของ CPSydney office ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษได้เลยที่ +61 2 9267 8522 หรือต่อให้จะไม่มีปัญหาอะไร แต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อโทรเข้ามาสอบถามกันได้ที่เบอร์เดียวกันนี้เหมือนกันนะ ถ้าเป็นสาย social ก็ทักกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้ สะดวกติดต่อทางไหนก็เลือกเอาทางนั้น ตามใจชอบ

ปล. อย่าลืม LIKE เพจเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ Facebook page ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ทางเลือกของการขอ PR ด้วย Designated Area Migration Agreement (DAMA)

ในฉบับที่ผ่านมาน้าก็ได้เขียนเกี่ยวกับวีซ่าตัวใหม่และก็ระบบการนับคะแนนแบบใหม่สำหรับการยื่น PR ผ่านทางวีซ่าทักษะด้วยตัวเองที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ให้ด้อ่านกันไปแล้ว (วาร์ปไปอ่านบทความที่แล้วกันตรงนี้ได้เลยนะ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/05/new-regional-visas-new-point-test-system.html) ฉบับนี้ก็ยังมีข่าวดีมาอัพเดทให้ฟังกันอย่างต่อเนื่องครับ โดยในฉบับนี้จะมาอัพเดทให้ฟังเกี่ยวกับ Designated Area Migration Agreement (DAMA) ของทางรัฐ South Australia กันบ้าง ยังไงก็ลองอ่านกันดูเนอะ เผื่อไว้เป็นทางเลือกในการขอ PR ในอนาคตกันดูครับ

ก็คือในช่วงกลางเดือนที่แล้วเนี่ยะ ได้มีข่าวออกมาและจั่วหัวข้อข่าวได้อย่างน่าสนใจว่า "South Australia approves 174 occupations for sponsored visas" อ่านจากหัวข้อก็ดูรู้ได้ทันทีว่า "วันนี้เป็นวันดีดี วันนี้เราควรจะทำอะไร" เพราะพี่ว่านได้กล่าวไว้ #หยอกหยอก555 เล่นมุกอะไรของน้าเนี่ยะ จางกว่านี้ไม่มีอีกแล้วบอกเลย

กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ก็คือจากหัวข้อข่าวของ SBS เนี่ยะ https://www.sbs.com.au/yourlanguage/hindi/en/article/2019/05/15/south-australia-approves-174-occupations-sponsored-visas ทางรัฐบาลของรัฐ South Australia (SA) ได้ตอบรับนโยบายของทางรัฐบาลออสเตรเลียที่ต้องการผลักดันกระจายความหนาแน่นของของประชากรไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่นหรือผู้ที่ถือวีซ่าชั่วคราวต่างๆให้ออกไปอยู่ในเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่ Sydney และ Melbourne กันบ้าง นอกจากนี้ก็ยังถือว่าเป็นการตอบรับนโยบายทางเศรฐกิจของประเทศที่ต้องการกระจายรายได้หรือสภาพคล่องทางเศรษฐกิจไปทั่วประเทศอีกด้วย โดยการเข้าร่วมของทาง SA ก็คือ การเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีทักษะทางวิชาชีพต่างๆทั้งหมด 174 อาชีพ สามารถทำวีซ่าทำงานในรัฐ SA ได้ แต่ วีซ่าทำงานที่ว่าเนี่ยะจะต้องมีนายจ้างหรือผู้ประกอบการสปอนเซอร์ด้วยนะครับ ไม่ได้สามารถทำเองโดดๆได้ พร้อมทั้งยังเปิดโอกาสในการต่อยอดไปถึงการขอ PR ในอนาคตได้อีกด้วย ซึ่งนอกจากจะสามารถตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาลได้แล้ว ก็ยังเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในบางอุตสาหกรรมภายในรัฐของตัวเองที่ประสบปัญหาขาดแคลนพนักงานในองค์กรของตัวเองอีกด้วย ทำให้ SA Government จึงได้ตัดสินใจขานรับนโยบาย the state's Designated Area Migration Agreement (DAMA) ของทาง the Federal Government นั่นเอง

รายละเอียดของ DAMA สำหรับรัฐ South Australia ก็จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม โดยแบ่งตามพื้นที่และความต้องการในทักษะอาชีพต่างๆ ดังนี้
  • Adelaide Metropolitan region: มีอาชีพที่อยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด 60 อาชีพด้วยกัน โดยทั้ง 60 อาชีพนี้จะสามารถทำ sponsored visa ในกรณีที่ทำงานอยู่ในตัวเมือง Adelaide หรือเขตปริมณฑลใกล้เคียงเท่านั้นนะครับ และทุกอาชีพในกลุ่มนี้จะสามารถต่อยอดในการขอ PR ได้ในอนาคตอีกด้วย โดยอาชีพในกลุ่มนี้จะเป็นทักษะอาชีพที่ขาดแคลนตามความต้องการของ the Adelaide Innovation and Technology Agreement เพราะฉะนั้นอาชีพเกือบจะทั้งหมดในลิสต์นี้ก็จะเป็นพวกอาชีพที่มี background ทางด้านวิทยาศาสตร์ซะส่วนใหญ่ อาทิเช่น นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในแขนงต่างๆ
  • South Australian Regional Workforce Agreement: อันนี้ก็แน่นอนแหล่ะว่าจะเป็นอีก 114 อาชีพที่เหลือก็จะครบทั้งหมด 174 อาชีพตามที่ประกาศออกมาพอดีเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน (บวกเลขธรรมดาแค่นี้ ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข) ข้อดีของลิสต์ในอาชีพนี้คือเป็นลิสต์ที่สามารถทำ sponsored visa ได้ทั้งรัฐ South Australia แต่ ไม่ใช่ทุกอาชีพในลิสต์นี้ที่จะสามารถขอ PR ต่อได้ในอนาคตนะครับ น่าจะมีแค่เพียงประมาณครึ่งนึงหรือน้อยกว่าของ 114 อาชีพที่สามารถขอ PR ได้หลังจากที่ถือตัว sponsored visa แล้ว โดยทั้ง 114 อาชีพที่เหลือก็จะเป็นทักษะทางด้านอื่นๆที่ยังขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของรัฐ SA อยู่ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มทักษะอาชีพทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การโรงแรม หรือการทำอาหาร, ทักษะอาชีพทางด้านเกษตรกรรม, หรือแม้แต่ในกลุ่มของคนที่มีทักษะอาชีพทางด้านสุขภาพ ล้วนแต่เป็นอาชีพที่อยู่ในลิสต์นี้ทั้งสิ้น1
**สามารถกดเข้าไปดูลิสต์อาชีพทั้งหมด 174 อาชีพ ที่เป็นที่ต้องการของ South Australia ได้ที่ https://www.migration.sa.gov.au/local-employers/designated-area-migration-agreements/dama-occupation-lists ตอนนี้ทุกทักษะอาชีพได้ถูกประกาศออกมาทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับ Application Process และ How To Apply ของ Desinated Area Migration Agreement ในรัฐ South Australia จะประกาศตามออกมาในภายหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไปครับ

อันที่จริงไม่ได้มีแค่เฉพาะรัฐ South Australia เท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการ DAMA เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลออสเตรเลีย ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมารัฐ Northern Territory (NT) ก็ชิงเข้าร่วมไปก่อนแล้ว ด้วยการประกาศลิสต์อาชีพออกมาทั้งหมด 117 อาชีพที่ยังเป็นที่ต้องการภายในรัฐ พร้อมทั้งโอกาสของการยื่นขอ PR ในอนาคตผ่านทักษะอาชีพดังกล่าว ยังไงก็สามารถตามไปวาร์ปกันต่อเพื่อดูลิสต์อาชีพทั้งหมดของ Northern Territory กันได้ที่ https://www.sbs.com.au/yourlanguage/punjabi/en/article/2019/01/08/australian-permanent-residency-117-occupations-open-skilled-migrants-willing

ทิ้งท้ายบทความหลักฉบับนี้ด้วยช่องทางการติดต่อเข้ามาสอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของ CPSydney office กันเหมือนเดิม...สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็กดมาปรึกษาสามารถปรึกษากับ Migration agent ของ CPSydney office ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษได้เลยที่ +61 2 9267 8522 หรือต่อให้จะไม่มีปัญหาอะไร แต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อโทรเข้ามาสอบถามกันได้ที่เบอร์เดียวกันนี้เหมือนกันนะ ถ้าเป็นสาย social ก็ทักกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้ สะดวกติดต่อทางไหนก็เลือกเอาทางนั้น ตามใจชอบ

ปล1. อย่าลืม LIKE เพจเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ Facebook page ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney
ปล2. ฉบับนี้จะพิเศษหน่อยนะ เพราะจะมีคอลัมน์ MyFutureMyCP แนะนำสถาบันมาเล่าสู่กันฟังด้วย...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก็ไปกันต่อไม่รอแล้วนะเลยละกัน




MyFutureMyCP: Kaplan Business School (KBS)...จะเรียนต่อเมืองนอกทั้งที ควรจะต้องรู้อะไรบ้างนะ?

เชื่อว่าเด็กไทยรุ่นราวคราวเดียวกับน้า หรือแม้แต่หนูๆที่มีอายุน้อยกว่าต้องเจอคำถามเหล่านี้กันทุกคน ไม่ว่าจะเป็น "โตขึ้นจะเป็นอะไร? หรือ โตขึ้นจะเรียนอะไร?" ด้วยความใสในวัยเด็กก็คงเป็นคำตอบที่น่ารักน่าชังกันทั้งนั้น ถึงแม้ในความเป็นจริงสิ่งที่อยากจะเป็นหรืออยากจะเรียนอาจจะไม่ตอบโจทย์ชีวิตสักเท่าไหร่ จนโตขึ้นมาหลายๆคนคงคิดในใจว่า ย้ำนะว่าคิดในใจจริงๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หนูก็อยากจะตอบว่า "เรื่องของ ู555"

เอาความจริงมาหยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอไปละ...เอาจริงๆนะถ้าหาตัวเองเจอตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นอะไรอยากเรียนอะไรนี่โคตรกำไรชีวิตเลย เพราะนอกจากจะต้องมานั่งหาตัวเองให้เจอว่าอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไรในอนาคต ยังต้องมาหาที่เรียนอีกด้วยไง (โตมาแล้วชีวิตแ_่งไม่ง่ายเลยจริงๆ) แล้วเอาเข้าจริง บางครั้งเรื่องการเลือกที่เรียนนี่ยากกว่าจะเลือกในสิ่งที่รักหรือชอบอีกด้วยนะ คือ ปัจจัยและเงื่อนไขในกาตัดสินใจนี่แบบเยอะมากจริงๆ คือ ถ้าไม่นับเอาจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากคนอื่นๆ มันก็ต้องลองหาข้อมูลด้วยตัวเองเพื่อมาประกอบการตัดสินใจแหล่ะ ซึ่งหลายๆคนก็คงไม่รู้หรอกว่า ถ้าไม่นับข้อมูลจากทาง website ของทางสถาบันต่างๆ ที่จริงแล้วมันยังมีข้อมูลอีกตัวที่สามารถเป็นดัชนีวัดมาตรฐานคุณภาพของสถาบันต่างๆที่เรียกว่า "The International Standard Barometer (ISB)" อีกด้วย

ISB เอาจริงๆก็คงเปรียบได้เป็นสมุดหน้าเหลือง หรือรีวิวจากประสบการณ์ตรงของนักเรียนทั่วโลกที่เรียนในต่างประเทศนั่นแหล่ะ ซึ่งก็แน่นอนว่าสถาบันต่างๆในออสเตรเลียก็ต้องโดนรีวิวด้วยอย่างแน่นอน แต่จะให้เอามาเขียนทุกสถาบันก็คงเป็นไปไม่ได้ ในฉบับนี้ก็จะหยิบยกตัวอย่างมา 1 สถาบันที่ได้รับ feedback ที่ดี อีกทั้งยังมีราคาค่าเล่าเรียนที่ไม่ได้แพงมากอย่าง Kaplan Business School (KBS) มาให้ได้อ่านกัน
อย่างแรกเลยก็ต้องเข้าใจก่อนด้วยว่า KBS ไม่ได้ไก่กากิงก่องแก้วอย่างที่หลายๆคนคิดนะ อาจจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างเหมือนมหา'ลัยอื่นๆในออสเตรเลีย แต่ที่จริงสถาบันนี้ค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้างพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่ายิ่งในเรื่องของหลักสูตรทางด้านธุรกิจ แค่ชื่อที่เป็น business school ก็คงบอกความเชี่ยวชาญของสถาบันได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ใครบ้างที่จะรู้ว่า KBS เนี่ยะ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็อยู่ในอุตสาหกรรมการศึกษามาไม่ต่ำกว่า 80 ปีแล้วเดียว...คราวนี้ย้อนกลับมาที่ ISB ที่ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลักในการรีวิวของนักเรียนต่างประเทศทั่วโลกกันต่อ โดยเราจะพุ่งตรงไปที่การรีวิวของนักเรียนที่มีต่อ KBS กันเลยนะ จะได้ไม่เสียเวลา

  • Arrival การสร้างความประทับใจให้กันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอย่อมส่งผลบวกมากกว่าลบอยู่แล้ว KBS จึงให้ความสำคัญกับการปฐมนิเทศ และ Formal Welcome เป็นอย่างมาก ซึ่งผลของความเอาใจใส่ที่ว่าก็ทำให้ 97.5 % ของนักเรียน KBS พึงพอใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และให้การรีวิวในหมวดหมู่นี้ไว้อย่างดีเยี่ยม
  • Learning อันนี้น่าจะเป็นปัจจัยหลักในการเลือกสถาบันที่เรียนเลยก็ว่าได้ (ไม่นับรวมกับเรื่องค่าเทอมนะ) เพราะ learning ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะความยอดเยี่ยมของคุณภาพทางการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่จะครอบคลุมในส่วนของ Multicultural, Language support, Class size, และ Employability อีกด้วย
    • Multicultural เรื่องนี้นี่หายห่วงเลย เพราะมีนักเรียนจากกว่า 80 ประเทศทั่วโลกเลือกเรียนที่ KBS ทั่วทั้ง 4 campuses (Sydney, Melbourne, Brisbane, และ Adelaide) ในประเทศออสเตรเลีย เพราะฉะนั้นนอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของ multicultural แล้ว ก็ยังจะได้เรื่อง GLOBAL CONNECTION มาอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับการทำธุรกิจในปัจจุบัน
    • Language support เรื่องนี้ก็ชิวเลย เพราะนอกจากจะมีโรงเรียนที่สอนทางด้านธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว ทางสถาบันยังมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเป็นของตัวเองที่ชื่อ Kaplan International English อีกด้วย
    • Class size ทางสถาบันจะลิมิตจำนวนนักเรียนต่อห้อง หรือต่อ class ไว้ที่เพียง 25 คนเท่านั้น เพื่อให้ผู้สอนสามารถดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง และประโยชน์สูงสุดของตัวนักเรียนนั่นเอง
    • Employability อันนี้ไม่ได้หมายถึงแค่อัตราการรับนักเรียนของสถาบันเข้าทำงานหลังจากที่เรียนจบเท่านั้นนะ แต่จะรวมไปถึงการให้คำแนะนำในเรื่องของ Career Advice ของทางสถาบันอีกด้วย กล่าวโดยรวมให้เข้าใจง่ายๆก็คือนอกจากนักเรียน KBS จะมี employability ในอัตราที่น่าพอใจแล้ว นักเรียนของทางสถาบันเองก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำในเรื่องของการหางานเป็นอย่างดีอีกด้วย
  • Support หัวข้อนี้ก็จะเป็นความพึงพอใจโดยรวมของนักเรียน KBS ที่มีต่อสถาบันในเรื่องของการได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเรียน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง Counsellling Support และ Academic Learning Unit จากโรงเรียน ต่างก็ได้รับประเมินและรีวิวจากนักเรียนในระดับที่สูงมากๆ 
  • Living รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างสภาพความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมในสถาบันก็อาจจะเป็นเรื่องที่หลายๆสถาบันมองข้ามไป แต่ไม่ใช่กับที่ KBS เพราะนักเรียนของทางสถาบันทั้ง 4 campuses ต่างรีวิวให้คะแนนในหัวข้อนี้ให้กับสถาบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสภาพแวดล้อมที่น่าเรียน และความปลอดภัยของทางโรงเรียน ทำให้นักเรียนสามารถเรียนได้อย่างสบายใจนำไปสู่ผลการเรียนที่ดีของทุกคนนั่นเอง

สำหรับฉบับนี้ น้าหนวดก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังแค่นี้แหล่ะ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยเนอะ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ DAMA จากทางฝั่ง South Australia และ Northen Territory รวมไปถึงคอลัมน์ย่อยอย่าง MyFutureMyCP ที่มาแนะนำ Kaplan Business School มาให้ได้รู้จักกันไป อย่าลืมว่าทาง KBS เขาก็มี Adelaide campus ที่อยู่ใน South Australia เหมือนกันนะ หลานๆที่เรียนจบจาก Adelaide campus อาจจะได้ประโยชน์ในการเข้ารวม DAMA ของที่ SA ต่อก็ได้...ยังไงฉบับนี้ก็ต้องขอลาไปก่อน ไว้เจอกันใหม่ฉบับหน้านะครับ


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด