สวัสดีจร้าาา เผลอแป๊บเดียวก็จะเข้าสู่เทศกาลวันแห่งความรัก (Valentine's Day) ประจำปี 2017 กันแล้วนะครับ ตอนแรกทางเราก็ลังเลกันอยู่ว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องวีซ่าคู่ครอง หรือเกี่ยวกับวีซ่านักเรียนก่อนดี เพราะเห็นว่ากำลังจะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว ก็เลยอยากจะเขียนถึงวีซ่าคู่รักซักหน่อย แต่มาคิดดูอีกทีว่ามาอัพเดทให้ฟังเกี่ยวกับสถานการณ์วีซ่านักเรียนออสเตรเลียสำหรับน้องๆเพื่อนๆนักเรียนชาวไทยกันก่อนน่าจะดีกว่า แล้วเดี๋ยวฉบับถัดไปค่อยมาเขียนให้ฟังเกี่ยวกับวีซ่าคู่ครองให้ฟังกันอีกทีนะครัชชช
เริ่มกันเลยละกันนะครับ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่น (Department of Immigration and Border Protection: DIBP) ได้ทำการออกมาสรุปการประชุมเกี่ยวกับวีซ่านักเรียนออสเตรเลียสำหรับนักเรียนชาวไทยภายใต้หัวข้อการประชุมที่ว่า Country Specific Teleconference Series - Thailand (October 2016) โดยเป็นการสรุปตั้งแต่เริ่มประกาศใช้วีซ่านักเรียนรูปแบบใหม่ (Simplified Student Visa Framework: SSVF) ในวันที่ 1 กรกฎาคมปีที่แล้วจนถึงช่วงประมาณเดือนตุลาคมที่ผ่านมาค่ะ ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆมากมายพอสมควร เดี๋ยวยังไงลองอ่านผลสรุปที่น่าสนใจที่เรานำมาเขียนแล้วแยกเป็นหัวข้อให้อ่านตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลยนะครับ
ภาพรวม
- Visa Subclass ลดลงจาก 8 subclasses เหลือแค่เพียง 2 subclasses ได้แก่ a single Student visa (subclass 500) and a Student Guardian visa (subclass 590)
- วีซ่านักเรียนออสเตรเลียไม่ว่าจะมาจากชาติไหน ก็จะต้องยื่นผ่านทาง ONLINE เท่านั้น
- ใช้การประเมินพิจารณาวีซ่านักเรียนออสเตรเลียแบบใหม่ โดยจะคำนึงจากความเสี่ยงของสถาบันการเรียนที่นักเรียนเลือกเรียน และ สัญชาติของนักเรียนที่สมัครวีซ่า ถ้าอยู่ในกลุ่มของความเสี่ยงสูงจะต้องแนบเอกสารทางการเงิน และ ผลวัดระดับความสามารถทางภาษาพร้อมกับตอนที่ยื่นวีซ่า
- ดัชนีความเสี่ยงของสถาบันการศึกษา และ สัญชาติที่นักเรียนถือ จะมีการพิจารณาใหม่ทุกๆ 6 เดือน
- ปัจจัยหลักในการพิจารณาที่ยังมาใช้ในการพิจารณาวีซ่านักเรียน คือ ต้องไม่ป่วยเป็นโรคต้องห้ามใดๆ ไม่มีประวัติทางอาชญากรรมหรือคดีความใดๆ และ ต้องแสดงเจตจำนงค์ให้ชัดเจนว่ามีจุดประสงค์เข้ามาเพื่อการศึกษาต่อเท่านั้น
ข้อมูลเชิงสถิติ
- ระหว่างปี 2015-2106 มีวีซ่านักเรียนจากประเทศไทย เพิ่มขึ้นถึง 20% จากปี 2014-2015
- จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยว่า มีสถาบันการเรียนเปิดใหม่้เพิ่มขึ้นสำหรับนักเรียนที่ไม่ได้มีจุดประสงค์จะมาเรียนจริงๆ
- แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2016 - 30 กันยายน 2016 มีจำนวน visa applications เพิ่มขึ้นมากกว่า 5,000 applications หรือคิดเป็น 18.6%
- แค่เฉพาะเดือนมิถุนายน 2015 กับ มิถุนายน 2016 มีจำนวนวีซ่านักเรียนจากไทย เพิ่มขึ้นมากกว่า 122.5%
Processing Center
วีซ่านักเรียนจากประเทศไทยส่วนใหญ่จะถูกแจกจ่ายเพื่อพิจารณาไปที่ เพิร์ธ และ กรุงเทพฯ โดยที่จะใช้หลักการการสุ่มกระจายวีซ่าไประหว่าง 2 ที่นี่เป็นหลัก และอาจจะมีที่อื่นด้วย เพราะฉะนั้นเอกสารการที่ใช้ประกอบเป็นหลักฐานทั้งหมดจะต้องมีความพร้อมมากที่สุด และอย่าทึกทักไปเองว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าใจเรื่องราวหรือความจำเป็นส่วนตัวใดๆของเรา ทางที่ดีผู้สมัครยื่นวีซ่าทุกคน ควร เตรียมเอกสารให้มีความพร้อมมากที่สุด พร้อมคำอธิบายต่างๆตามความเป็นจริง
คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่น
- เจ้าหน้าที่อิมฯ ก็ได้ออกมายอมรับว่า เขาเองก็ทราบว่า มีพวกนักเรียนจุดประสงค์แฝงเยอะขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่จะมีความเข้มงวดเพิ่มขึ้นในเรื่องของเอกสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เอกสารปลอม เช่น
- เอกสารระบุตัวพวก identification ทั้งหลาย (เหตุผลนี้แหล่ะที่ทำให้เขาเริ่มใช้วิธีการ biometrics data collection ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2016 ที่ผ่านมา)
- เอกสารการเงิน (นี่ก็เพิ่งมีตัวอย่างของน้องคนนึงให้เห็นที่เอเจนท์ช่วยแต่งเอกสารการเงิน แต่อิมฯจับได้ ทำให้วีซ่าน้องทั้งไม่ผ่านและถูกแบนห้ามยื่นวีซ่าออสเตรเลียเป็นเวลา 3 ปี)
- เอกสารระบุความสัมพันธ์
- นอกจากจะดูความเสี่ยงเบื้องต้นจากสถาบันที่สมัครเรียน และ สัญชาติของผู้สมัครแล้ว เอกสารหลักที่อิมฯจะนำมาใช้ในการพิจารณาวีซ่าของเราก็คือ Genuine Temporary Entrant Statement (GTE) หรืออาจจะเรียกว่า จดหมายแจ้งแผนการเรียนว่าทำไมเราถึงอยากมาเรียนต่อในออสเตรเลีย โดยอิมฯจะพิจารณาจาก
- คอร์สที่สมัครเรียนว่ามีความสมเหตุสมผลหรือไม่
- นักเรียนมีแรงจูงใจ หรือมีแผนที่จะกลับไทยหลังจากที่เรียนจบในคอร์สที่สมัครมาหรือไม่
- จุดประสงค์ของการเรียนที่ชัดเจน โดยอิมฯก็ได้ระบุว่านักเรียนควรจะเขียนเป็นภาษาของตัวเอง ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าตรงไหนที่เขาไม่เข้าใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เขาจะโทรมาสัมภาษณ์เอง
- อิมฯ สามารถขอเอกสารทางการเงินเพิ่มเติมได้ทุกเมื่อ และจะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาควบคู่กันกับ GTE statement ของเรา เพราะฉะนั้นถ้าเรามีเอกสารทางการเงินที่พร้อมอยู่แล้วก็ยื่นเข้าไปตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า
- Your reasons for choosing to undertake the course of study specified in your application (เหตุผลที่เลือกเรียนคอร์สดังกล่าว)
- Your reasons for choosing your education provider (เหตุผลที่เลือกเรียนในสถาบันดังกล่าว)
- Your reasons for choosing to study in Australia rather than in your home country (เหตุผลที่เลือกเรียนที่ออสเตรเลียมากกว่าที่จะเรียนที่ไทย)
- The relevance of your course of studies to your academic and/or employment background (การเรียนคอร์สนี้เกี่ยวข้องกับการเรียนหรือการทำงานที่ผ่านมาอย่างไร)
- The relevance of the course to your future career/educational plans (การเรียนคอร์สนี้เกี่ยวข้องกับแพลนการเรียนหรือการทำงานในอนาคตอย่างไร)
คำถามที่พบบ่อย (ที่น่าสนใจ)
- ทำไมถึงกำหนดผลภาษา IELTS ขั้นต่ำแค่ 4.5?
- ทางรัฐบาลให้เหตุผลว่าระดับคะแนน 4.5 เป็นระดับขั้นต่ำที่เด็กจะมีความสามารถเพียงพอในการอยู่รอดในออสเตรเลียทั้งในเรื่องของการเข้าสังคมต่างๆ และระดับการเรียนขั้นต่ำของตัวนักเรียนคนนั้นๆ
- จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้สมัครขอวีซ่านักเรียนไม่ได้แนบเอกสาร GTE statement และเจ้าหน้าที่จะติดต่อสัมภาษณ์ขอข้อมูลเพิ่มเติมโดยตรงกับนักเรียนหรือไม่?
- อิมฯสามารถพิจารณาผลของวีซ่าจากหลักฐานที่ยื่นมาในปัจจุบัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องขอเอกสารหรือทำการสัมภาษณ์เพิ่มเติมใดๆกับทางผู้สมัคร เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆคือ "เอกสารทุกอย่างต้องครบ" นะครัชชช เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ คือ จะเป็นในกรณีที่อิมฯต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจริงๆจากทางผู้สมัครวีซ่าเท่านั้น
- ทำไมอิมฯถึงปฏิเสธวีซ่าทันทีถ้าผู้สมัครขอวีซ่านักเรียนมีสมาชิกครอบครัว หรือญาติอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย?
- อิมฯไม่ได้ปฎิเสธวีซ่าทันที หรือปฎิเสธโดยอัตโนมัติถ้าผู้สมัครขอวีซ่านักเรียนมีสมาชิกครอบครัว หรือญาติอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย นาจาาา...อย่างที่บอกไปคือ เอกสารหลักหรือหลักฐานที่จะดูมีน้ำหนักมากที่สุด คือ GTE statement โดยอิมฯจะดูจากภาพรวมทั้งหมดของคำตอบจากคำถาม 5 ข้อที่ทางผู้สมัครได้เขียนอธิบายมาในจดหมายฉบับนี้ นอกจากนี้จากการอ่านขององค์ประกอบโดยรวมทั้งหมดใน GTE statement การมีสมาชิกครอบครัว หรือญาติอาศัยอยู่ในออสเตรเลียอาจจะเป็นผลดีสำหรับตัวนักเรียนก็ได้
- ผู้สมัครขอวีซ่านักเรียนจำเป็นต้องกรอกประวัติการเดินทาง 10 ปีย้อนหลังหรือไม่?
- จำเป็นอย่างแน่นอนที่สุด สุดสวิงริงโก้!! ประวัติการเดินทางเป็นอีกปัจจัยที่จะถูกนำมาพิจารณาผลของวีซ่า คือ อิมฯจะมองว่ายิ่งเดินทางมากก็ดูน่าเชื่อถือ เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย อะไรประมาณนี้
- ถ้านักเรียนจะเปลี่ยนมาเรียนในหลักสูตรหรือสถาบันที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าที่ลงมาในปัจจุบัน จะมีผลกระทบอะไรกับวีซ่าของนักเรียนหรือผู้สมัครหรือไม่?
- ตาม visa condition 8202 (must maintain enrolment) นักเรียนควรจะเรียนอยู่ในหลักสูตรระดับเดิม เช่น ได้วีซ่านักเรียนมาจากระดับ Diploma ถ้าจะเปลี่ยนคอร์สเรียนก็ควรลงให้ถึงระดับ Diploma เป็นอย่างน้อย หรือในกรณีที่จะย้ายโรงเรียนก็ควรจะย้ายไปยังโรงเรียนที่อยู่ในระดับความเสี่ยงเดียวกันหรือสูงกว่า ถ้าทำผิดกฎหรือเงื่อนไขตรงนี้ แล้วดันแจ๊คพอตแตกโดนสุ่มตรวจขึ้นมา อิมฯก็สามารถยกเลิกวีซ่าเราได้โดยทันทีนะ จะบอกให้...กรณีเดียวที่สามารถเปลี่ยนมาลงเรียนในระดับที่ต่ำกว่าได้ก็คือ เปลี่ยนจากปริญญาเอก เป็น ปริญญาโท เท่านั้นนะจ๊ะ สามารถกดเข้าไปข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนคอร์สเรียนได้ที่ www.border.gov.au/Trav/Stud/More/Changing-courses และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับของหลักสูตรการเรียนได้ที่ http://www.aqf.edu.au/aqf/in-detail/aqf-levels/
- อิมฯใช้เวลานานแค่ไหนในการพิจารณาวีซ่า?
- อิมฯจะพยายามพิจารณาผลของวีซ่าสำหรับผู้สมัครที่แนบเอกสารครบทุกอย่างแล้วให้เสร็จภายใน 1 เดือนนับจากวันที่ยื่นวีซ่าไป นอกจากอิมฯยังแนะนำอีกว่าควรจะยื่นวีซ่านักเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนที่คอร์สเรียนของตัวเองจะเริ่ม เผื่อในกรณีที่อิมฯต้องการเอกสารเพิ่มเติมอาจจะต้องยืดเวลาออกไปประมาณ 4 สัปดาห์
#น้าหนวด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น