วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บทความแด่พ่อหล่วง...พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอนที่ 2 (ตอนสุดท้าย)

สวัสดีครับ จากที่ฉบับที่แล้วได้เขียนถึงพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาในระบบโรงเรียนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาในฉบับนี้ก็จะมาเขียนหรือเล่าต่อถึงพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาที่เหลือของพระองค์ท่านให้ทราบกันว่ามีอะไรอีกบ้าง ได้แก่ พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษานอกโรงเรียน โครงการสารานุกรมสำหรับสารานุกรม และ ทุนพัฒนาบุคคล

“การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงตระหนักว่าการศึกษาของเยาวชนนั้นเป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ

พระราชกรณียกิจด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน
พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียนนั้น เรียกได้ว่า ทรงเป็นพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา เพราะพระองค์ตระหนักดีว่ารากฐานที่สำคัญของประเทศชาติคือการที่พสกนิกรหรือลูกๆของท่านจะต้องมีความรู้ความสามารถที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม พระองค์จึงทรงริเริ่มโครงการเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบเพื่อให้ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาทั้งหลายได้มีความรู้ความสามารถเพื่อนำไปประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข
  • ศาลารวมใจ

ทรงจัดตั้ง “ศาลารวมใจ” เพื่อใช้เป็นห้องสมุดประจำหมู่บ้านสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร โดยได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างศาลารวมใจ นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานหนังสือประเภทต่างๆที่มีเนื้อหาสาระอ่านเข้าใจง่ายไว้ให้กับศาลารวมใจอีกด้วย
โดยในปัจจุบันมีศาลารวมใจอยู่ทั่วแทบจะทุกหนแห่งในประเทศไทย บ้างก็เป็นศาลารวมใจที่พระองค์ท่านทรงเป็นผู้ก่อตั้ง บ้างก็เป็นโครงการที่สานต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือแม้แต่พระราชวงศ์องค์อื่นๆก็ทรงสานต่อโครงการศาลารวมใจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเช่นกัน
  • โรงเรียนพระดาบส

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังเช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บริเวณตรงข้ามหอสมุดแห่งชาติ เพื่อสร้างเป็นโรงเรียนสำหรับฝึกวิชาชีพโดยทรงมีพระบรมราโชบายให้ดำเนินการเป็นแบบอาศรมพระดาบส และมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ โดยต้องการให้จุดประสงค์ของการเรียนเป็นไปเพื่อการประกอบอาชีพเท่านั้นไม่ต้องนำคุณวุฒิทางด้านการศึกษาไปเทียบกับราชการ
โรงเรียนพระดาบสได้เปิดอบรมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.. 2519 ในหลักสูตรช่างไฟฟ้า และ ช่างวิทยุ โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานในภาครัฐและเอกชนในการส่งครูอาสาสมัครเข้ามาทำการสอนในหลักสูตรดังกล่าว นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานทรัพย์ที่ได้จากการทูลเกล้าฯถวายเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี พ.. 2518 จำนวน 2,572,000 บาท เป็นเงินทุนในการดำเนินการต่างๆของโครงการพระดาบส และทรงรับสั่งให้นำเงินส่วนเหลือไปฝากธนาคารเพื่อนำดอกผลไปใช้ในการดำเนินการกิจการของโครงการในภายภาคหน้าอีกด้วย
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

เป็นศูนย์การศึกษาที่เป็นศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้าทดลองวิจัยและแสวงหาแนวทางการพัฒนาทางด้านต่างๆที่เหมาะสมและต้องมีความสอดคล้องกับอาชีพของราษฎรที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศนั้นๆ โดยในปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีทั้งหมด 6 ศูนย์กระจายอยู่ใน 4 ภูมิภาค ดังนี้
1.      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส
2.      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร
3.      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
4.      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่
5.      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี
6.      ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • โครงการพระราชดำริต่างๆ

เป็นการให้ความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆของกรมการศึกษานอกโรงเรียน ตั้งแต่ .. 2524 โดยสามารถแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น 10 โครงการ ดังนี้
1.      โครงการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
2.      โครงการพัฒนาชุมชนตำบลบ้านจันทร์
3.      โครงการพัฒนากลุ่มห้วยแม่เพรียง
4.      โครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน
5.      โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง
6.      โครงการศิลปาชีพ จังหวัดสกลนคร
7.      โครงการพัฒนาที่ราบเชิงเขา จังหวัดปราจีนบุรี
8.      โครงการสวนป่าเปิดเขาเขียว
9.      โครงการศิลปาชีพเพื่อความมั่นคง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
10.    โครงการอาศรมวัดญาณสังวราราม

โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
            พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชปรารภว่า การเรียนรู้เรื่องราวและวิชาการสาขาต่างๆจะก่อให้เกิดความรู้ ความคิด และความฉลาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคนควรมีโอกาสที่จะศึกษาผ่านทางช่องทางใดก็ได้ที่จะสามารถเพิ่มพูนสติปัญญาให้ตนเองมีความรู้สามารถนำไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวพระองค์จึงมีพระราชดำรัสให้จัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และทรงได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับโครงการสารานุกรมไทยไว้ว่า
... เราต้องให้ความรู้กับเด็กและคนรุ่นต่อไปอย่างที่เราจะสามารถทำได้ จึงพูดถึง สารานุกรมฯ นี้จะทำให้เราแก้ปัญหาของเราได้ส่วนหนึ่ง ที่จริงมีวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่นด้วย แต่ว่า เราต้องเลือกทำขอเลือกทำสารานุกรม สารานุกรมไม่ใช่ครู แต่ว่าจะช่วยให้คนอื่นที่ไม่ได้เป็นครูได้ เช่น พ่อ แม่ ถ้าลูกถามปัญหาต่าง ๆ ก็อาศัยสารานุกรมนี้มาตอบได้ คนที่อ่านรู้เรื่องมากกว่าจะสอนน้องได้ แล้วการที่ดูสารานุกรมด้วยกันในครอบครัวจะช่วยให้เกิดความใกล้ชิดในครอบครัว จะช่วยให้ลูกไว้ใจพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ระหว่างเด็กด้วยกันหรือคนที่อ่านสารานุกรมด้วยกัน ก็จะคุยกันในวิชาการได้จะเกิดความรู้และจะเกิดความสามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกัน การแลกเปลี่ยนความคิดและแลกเปลี่ยนทัศนะกันนี้เป็นทางที่จะทำให้มีความรู้ความกว้างขวางและจะทำให้อยากที่จะรู้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการศึกษา ...”
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน สามารถแบ่งวิทยาการออกได้เป็น 4 สาขาวิชา คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ อันเป็นศาสตร์การศึกษาที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเนื้อหาในหนังสือสารานุกรมจะแบ่งออกเป็น 3 ตอนตามระดับความรู้ เพื่อให้ผู้อ่านที่มีความรู้ทั้ง 3 ระดับได้อ่าน ดังนี้
  • ตอนที่ 1: ใช้ภาษาง่ายๆ เนื้อหาจะไม่ซับซ้อนมาก และจะใช้ตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับเด็กรุ่นเล็กอายุ 8-12 ขวบ ในการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
  • ตอนที่ 2: เนื้อหาเริ่มยากขึ้นมาตามความเหมาะสมและความรู้ของเด็กในวัย 12-14 ขวบ
  • ตอนที่ 3: มีเนื้อหาค่อนข้างยาก การใช้ภาษาตลอดจนวิธีการเขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้จะมีความซับซ้อนตามระดับอายุและความสามารถของผู้อ่านที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป

นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการเขียนหนังสือในโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนไว้อีกว่า
... สารานุกรมเล่มนี้มีไว้ไม่ใช่สำหรับสอนหนังสือใดโดยเฉพาะ แต่ว่ามีไว้สำหรับให้คนสามารถ ที่จะเผชิญกับปัญหาใด ๆ ในชีวิต...คือว่าโครงการสอนอย่างไรก็ตามต้องสอนให้คนรู้จักเผชิญกับปัญหาไม่ใช่สอนสำหรับให้คนมาตอบปัญหาต้องให้ทุกคนทั้งเยาวชนทั้งคนแก่ ทราบว่าวิชาทั้งหลายต้องโยงกันและปัญหาทั้งหลายต้องใช้วิชาทุกวิชาโยงกันมาแก้ให้สอดคล้องกัน มิฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ถ้าเรียนวิชาหรืออ่านวิชาอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วก็ท่องได้ตามตัวหนังสือไม่มีประโยชน์เลย ต้องสามารถคิดมาใช้เป็นประโยชน์ แต่เมื่อมาใช้ประโยชน์จะต้องโยงกับวิชาอื่นได้หมด ...”

ทุนพัฒนาบุคคล
  • ทุนมูลนิธิ “ภูมิพล”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงจัดตั้ง “ทุนภูมิพล” ให้แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษาแพทยศาสตร์ที่เรียนดีแต่ขัดสนในเรื่องของทุนทรัพย์ นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานเงินหมุนเวียนเริ่มแรกเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาให้แก่นิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีคะแนนสอบยอดเยี่ยมในสาขาวิชาต่างๆเพื่อเป็นกำลังใจแก่นิสิตนักศึกษาที่มีความมานะอุตสาหะในการศึกษา
  • ทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล”

พระองค์ทรงตระหนักดีว่าประเทศไทยของเรายังต้องการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในวิชาเทคนิคชั้นสูง เพื่อมาช่วยพัฒนาประเทศ จึงเห็นควรว่าควรมีการส่งเสริมนิสิตนักศึกษาที่มีความสามารถให้มีโอกาสไปศึกษาต่อในวิชาชั้นสูงในต่างประเทศ เพื่อที่จะได้นำวิทยาการเหล่านั้นกลับมาพัฒนาประเทศชาติต่อไปในภายภาคหน้า จึงโปรดเกล้าฯให้พระราชทาน “ทุนอานันทมหิดล” ในปี พ.ศ. 2498 โดยเริ่มจากการพระราชทานทุนให้แก่นักศึกษาในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ เพราะทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศจำต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เพื่อเจริญรอยตามพระยุคลบาทของสมเด็จพระบรมราชชนกและเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ต่อมาในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2502 ได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จดทะเบียนตราสารทุนอานันทมหิดลเป็น “มูลนิธิอานันทมหิดล” ซึ่งในปัจจุบันทุนอานันทมหิดลได้ขยายขอบเขตการพระราชทานทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาสาขาต่างๆ คือ สาขาแพทยศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเกษตรศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา วารสารศาสตร์ และอักษรศาสตร์ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการประจำแต่ละสาขาคอยคัดเลือกบัณฑิตที่มีความสามารถในแต่ละสาขาดังกล่าวไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ แล้วกลับมาพัฒนาประเทศชาติในภายหลังอันเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านในการจัดตั้งทุนนี้ โดยทุนนี้เป็นทุนให้เปล่าไม่มีสัญญาผูกมัดใดๆ เพราะทรงต้องการให้ผู้ที่ได้รับทุนได้เกิดความสำนึกและมีความรับผิดชอบได้ด้วยตัวเองในการตอบแทนคุณแผ่นดิน
  • ทุนเล่าเรียนหลวง (King’s Scholarship)

เป็นทุนการศึกษาที่ใช้ระบบการสอบแข่งขันคัดเลือกหาผู้ที่เหมาะสมกับทุนดังกล่าว โดยถูกริเริ่มก่อตั้งครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ในปี .. 2440 แต่ได้มีการยุติไปหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.. 2476
ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชปรารภให้ฟื้นฟูทุนเล่าเรียนหลวงขึ้นมาใหม่ โดยมีการประกาศใช้ “ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยทุนเล่าเรียนหลวง พ.. 2508” โดยเป็นทุนพระราชทานแก่นักเรียนที่สอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการได้คะแนนดีเยี่ยมปีละ 9 ทุน คือแผนกศิลปะ 3 ทุน แผนกวิทยาศาสตร์ 3 ทุน และแผนกทั่วไป 3 ทุน ให้ไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งนี้ทรงมีพระราชประสงค์ให้ผู้รับทุนได้ศึกษาวิชาการ และได้รับการอบรมให้รู้และเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวตะวันตกประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ ไปด้วย เพราะอายุยังน้อย อยู่ในวัยที่สามารถช่วยตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับสังคมตะวันตกได้
  • ทุนการศึกษาสงเคราะห์ในมูลนิธิราชประชานุเคราะห์

เป็นทุนการศึกษาที่จัดตั้งภายใต้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เพื่อสงเคราะห์เด็กที่ครอบครัวประสบวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี 2505 อีกทั้งยังนำเงินมาใช้ในการสร้างสถานสงเคราะห์รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กๆที่ไร้ที่พึ่งเพราะสูญเสียพ่อแม่หรือญาติพี่น้องจากภัยพิบัติดังกล่าว โดยชื่อทุน “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” มีความหมายมาจากคำว่า “พระราชา” และ “ประชาชน” อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน เป็นการสื่อโดยนัยว่าความสัมพันธ์กษัตริย์กับประชาชนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และยังทรงโปรดเกล้าฯให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยให้จดทะเบียนนิติบุคคลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม .. 2506
โดยในปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังคงทั้งเป็นที่รับอุปการะเด็กจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และคัดเลือกเด็กให้ได้รับทุนพระราชทานดังกล่าว โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
  • ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย

ในปี .. 2499 โรคเรื้อนกำลังระบาดอยู่ในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างสถาบันวิจัยค้นคว้าเรื่องโรคเรื้อน และพระราชทานนามสถาบันว่า “ราชประชาสมาสัย” ต่อมาทางสถาบันได้มีการขอจดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิราชประชาสมาสัยขึ้น และได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาให้ทรงรับมูลนิธิไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชกระแสตอบกลับว่า ถ้าจะขอให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิจะต้องเพิ่มวัตถุประสงค์อีกข้อว่าจะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับบุตรผู้ป่วยที่เลี้ยงแยกจากบิดามารดาแต่แรกเกิด ดังพระราชดำริที่พระราชทานถึงการก่อตั้งโรงเรียนว่า
การที่ดำริสร้างสถานศึกษานี้ขึ้น ก็เพื่อจะได้ช่วยเหลือเด็กผู้พลอยประสบเคราะห์กรรมให้มีสถานที่เล่าเรียน ซึ่งโดยธรรมชาติควรมีสิทธิที่จะกระทำสิ่งใดได้เช่นผู้อื่น การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่โชคชะตาบันดาลให้ต้องเกิดมาในภาวะเช่นนี้ย่อมเป็นกุศลและเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ เพราะเด็กเช่นว่านี้เมื่อได้รับการศึกษาอบรมด้วยดีเติบโตขึ้นก็จะเป็นพลเมืองที่ดีเป็นประโยชน์แก่ตนเองและชาติบ้านเมืองในอนาคต
  • ทุนนวฤกษ์

เป็นทุนการศึกษาที่ถูกริเริ่มก่อตั้งขึ้นมาด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยนักเรียนผู้ขาดแคลน ที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดีในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาต่อในระดับต่างๆไม่ว่าจะเป็นประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ฝึกหัดครู และอุดมศึกษา
นอกจากนี้ยังทรงนำเงินจากผู้บริจาคทรัพย์ทั้งหลายไปสมทบทุนก่อสร้างโรงเรียนตามวัดในชนบททั้งระดับประถมและมัธยมศึกษา เพื่อเป็นการสงเคราะห์เด็กยากจนและกำพร้าให้มีสถานที่สำหรับการศึกษาเล่าเรียน โดยอาราธนาพระภิกษุมาเป็นครูผู้สอนในวิชาสามัญศึกษาที่ไม่ขัดต่อพระวินัยและอบรมศีลธรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการศึกษาให้แก่เด็ก
  • ทุนการศึกษาพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะกรณี

1. ทุนพระราชทานแก่นักเรียนชาวเขา: เป็นทุนการศึกษาที่ทางกรมสามัญศึกษาขอพระราชทานจัดให้แก่นักเรียนชาวเขาที่ได้ทำมาตั้งแต่ปี พ.. 2514 นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็กๆชาวเขาทั้งหลายแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างชาวเขาและชาวไทยได้ดีอีกด้วย เพราะจะทำให้ชาวเขาได้มีโอกาสใช้ภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะกลับไปช่วยพัฒนาชุมชนท้องถิ่นชาวเขาของตัวเอง
2. ทุนพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะสถานศึกษา: เป็นทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม แต่ขาดทุนทรัพย์ในการเรียนในโรงเรียนในพระองค์และโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ อาทิเช่น โรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนวังไกลกังวล โรงเรียนราชวินิต และโรงเรียนราชประชาสมาสัย
3. รางวัลพระราชทานแก่นักเรียนและโรงเรียนดีเด่น: จากพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.. 2506 ที่ว่า
มีนักเรียนจำนวนมาก ซึ่งมีความประพฤติดีและมีความมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนได้ผลดี รวมทั้งโรงเรียนซึ่งจัดการศึกษาดี นักเรียนและโรงเรียนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวสมควรจะได้รับพระราชทานรางวัล
     กระทรวงศึกษาธิการจึงเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาจัดทำรางวัลพระราชทานต่างๆในปี 2508 โดยมีรางวัลพระราชทานแก่นักเรียนประถมศึกษาในภาคการศึกษาทั้ง 12 ภาค ภาคละ 1 คน รางวัลสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา รางวัลพระราชทานสำหรับโรงเรียนดีเด่น

และนี่ก็เป็นพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาที่เหลือทั้งหมดของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา และอยากให้ลูกของท่านทุกคนมีการศึกษาที่ดี มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะสามารถนำมาประกอบสัมมาอาชีพได้ และเป็นประชาชนที่ดีของแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติได้อย่างสูงสุดในภายภาคหน้า

"ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย...ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดมิได้"

#ทีมงานCPSydney

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทความแด่พ่อหล่วง...พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ตอนที่ 1)

หลังจากที่ได้ลงบทความฉบับปฐมฤกษ์เกี่ยวกับวีซ่านักเรียนออสเตรเลียรูปแบบใหม่ไปในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (สามารถหาอ่านกันได้ที่ http://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2016/08/visa-talk-by-cp-sydney.html) ผลตอบรับที่ได้มาจากเพื่อนๆผู้อ่านก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจและดีกว่าที่คิดพอสมควรเลยทีเดียว จากที่เคยคิดไว้ว่าจะเขียนเล่นๆในช่วงที่งานไม่ยุ่งก็มีความตั้งใจว่าจะเขียนให้บ่อยขึ้นอย่างน้อยก็คงจะเป็นประจำทุกเดือน เพื่อเป็นความรู้ในการทำวีซ่าให้กับน้องๆเพื่อนๆที่สนใจมาศึกษาต่อยังในประเทศออสเตรเลีย ก็มีหลายเรื่องทีเดียวที่คิดไว้ว่าจะเขียนให้อ่าน แต่ก็ยังไม่มีเวลาสักที จนล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคมที่เรา "คนไทยทุกคน" ได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ "การเสด็จสู่สวรรคาลัยของพ่อหลวง" มหาราชย์ผู้ที่เป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ของเราปวงชนชาวไทยทุกคน จากที่ตั้งใจว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องวีซ่านักเรียนออสเตรเลียในเดือนนี้ คงจะต้องขออนุญาตเปลี่ยนหัวข้อของบทความที่จะตั้งใจเขียนในฉบับของเดือนตุลาคมนี้เป็นการเขียนรำลึกถึงพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาของพระองค์ท่าน เพื่อเป็นการรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้และร่วมส่งท่านเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แทนนะครับ
“การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงตระหนักถึงความสำคัญของเยาวชนอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศชาติ

พ่อหลวงของเราทรงมีพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาทั้งหมด 5 พระราชกรณียกิจด้วยกัน ได้แก่
  1. พระราชกรณียกิจด้านการศึกษาในระบบโรงเรียน
  2. พระราชกรณียกิจด้านการศึกษานอกโรงเรียน
  3. โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
  4. การพัฒนาบุคคล
  5. พระบรมราโชวาทและพระราชดำริเกี่ยวกับการศึกษา
โดยในฉบับเดือนตุลาคมนี้น้าหนวดจะขอเขียนถึงแค่พระราชกรณียกิจด้านการศึกษาในระบบโรงเรียนของพระองค์ท่านเพียงด้านเดียวก่อนนะครับ แล้วในฉบับถัดๆไปจะเขียนถึงพระราชกรณียกิจด้านการศึกษาด้านอื่นๆมาให้อ่านกันอีกในภายหลังนะครับ


พระราชกรณียกิจด้านการศึกษาในระบบโรงเรียน
  • โรงเรียนจิตรลดา
โรงเรียนจิตรลดาเริ่มเปิดให้การเรียนการสอนครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.. 2498 ในระดับชั้นอนุบาลภายในพระราชวังดุสิตอันเป็นที่ประทับขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ในขณะนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรขึ้นในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เพื่อเป็นสถานศึกษาของพระราชโอรส พระราชธิดา บุตรหลานของพระบรมวงศานุวงศ์ มหาดเล็ก ข้าราชการบริหาร และบุคคลทั่วไป เนื่องด้วยทรงเห็นว่าการส่งพระราชโอรส พระราชธิดาไปเรียนโรงเรียนข้างนอก อาจไม่เหมาะสมและเป็นภาระแก่โรงเรียนและครู โดยนักเรียนที่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดาจะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน รวมถึงได้พระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันและอาหารว่างตอนบ่าย นอกจากนี้นักเรียนที่เรียนดียังจะได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอีกด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอย่างล้นพ้น เพราะนอกจากจะเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาลแล้ว ยังสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนสถานที่เรียนได้อีกด้วย และด้วยความที่เป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งแรกในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงได้ประทานพระบรมราโชบายเพื่อเป็นสิริมงคลแก่สถาบัน และเป็นคำสอนให้บุคคลากรไม่ว่าจะเป็นครูหรือนักเรียนนำไปประพฤติใช้เป็นแบบอย่างอีกด้วย
เนื้อความโดยสังเขปของพระบรมราโชบายก็จะกล่าวถึงพระราชโอรสและพระราชธิดา ครู และเอกลักษณ์ของนักเรียน คือ ทรงมีพระราชประสงค์ให้พระราชโอรสและพระราชธิดาทรงพระอักษรร่วมกับนักเรียนคนอื่น เพื่อที่จะได้รู้จักวางตัวได้อย่างเหมาะสมและมีเมตตาในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น สำหรับครู มีพระราชประสงค์ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน มีสำนึกของความเป็นครูในการนำความรู้ความสามารถมาสอนและพัฒนาความสามารถของนักเรียนเพื่อเป็นรากฐานที่ดีต่อสังคม และครูต้องไม่ถวายสิทธิพิเศษแด่พระราชโอรสและพระราชธิดา พระบรมราโชบายสุดท้ายสำหรับนักเรียนจิตรลดา คือ นักเรียนจิตรลดาต้องมีคุณธรรม มีความประพฤติที่ดี และควรจะมีความสามารถที่หลากหลายไม่ได้มีแค่ความสามารถทางวิชาการเพียงด้านเดียว
  • โรงเรียนราชวินิต
โรงเรียนราชวินิตได้ถือกำเนิดขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชปรารภที่จะจัดตั้งโรงเรียนราชูปถัมภ์ ณ บริเวณสวนเพาะชำ วังสวนกุหลาบ เป็นโรงเรียนราษฎร์ระดับประถมศึกษาสำหรับนักเรียนที่เป็นบุตรหลานของข้าราชการสำนักพระราชวังโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน โดยได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดโรงเรียนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และได้พระราชทานนามของโรงเรียนว่า “โรงเรียนราชวินิต” และพระราชทานความหมายของคำว่า “ราชวินิต” ว่า สถานที่อบรบกุลบุตร กุลธิดาให้เป็นคนเก่งแห่งพระบารมีปกเกล้าฯ
ครั้งหนึ่งยังทรงพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์เพื่อใช้เป็นทุนพระราชทานแก่นักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย และยังทรงพระราชทานพระราชดำรัสว่า “การศึกษาของเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประถมศึกษาถือว่าอยู่ในชั้นสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กทุกคนด้วยเหตุนี้จึงมีพระราชบัญญัติการประถมศึกษาขึ้น เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสเล่าเรียนตามหลักสูตรที่วางไว้ แต่ทั้งนี้ย่อมต้องอาศัยความรู้ความสามารถของครูที่เอาใจใส่พยายามอบรมบ่มนิสัยให้เด็กมีความรู้ มีศีลธรรม เพื่อให้เป็นพลเมืองของชาติต่อไปในภายหน้าด้วย”
  • โรงเรียนไกลกังวล
โรงเรียนไกลกังวลก่อตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาตในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เพื่อให้การศึกษาแก่บุตรหลานของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาวังไกลกังวล เปิดสอนชั้นเด็กเล็กไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และยังมีการเปิดสอนหลักสูตรวิชาระยะสั้นเพิ่มเติมด้วย ต่อมาได้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาคารที่พักกองรักษาการณ์วังไกลกังวลให้เป็นอาคารเรียนแทนอาคารไม้เก่าที่ชำรุดทรุดโทรมในปี พ.. 2497

ปัจจุบันเปิดสอนถึงระดับสารพัดช่าง วิชาชีพระยะสั้น และประกาศนียบัตรวิชาชีพช่างฝีมือ ทั้งหมด 17 แผนกวิชา เพื่อเป็นการสนองโครงการตามพระราชดำริเกี่ยวกับศิลปาชีพพิเศษ และเป็นที่ฝึกงานในชั่วโมงเรียนวิชาการวางพื้นฐานอาชีพด้วย นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังทรงพระราชทานเงินพระราชกุศลจากงบใช้สอยตามพระราชอัธยาศัยกว่า 1 ล้าน 2 แสนบาทต่อปี เพื่อช่วยในการลดรายจ่ายให้กับโรงเรียนอีกด้วย
  • โรงเรียนราชประชาสมาสัย
โรงเรียนราชประชาสมาสัยได้กำเนิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงเล็งเห็นว่า บุตรธิดาของผู้ป่วยโรคเรื้อนได้รับเคราะห์กรรมจากบิดามารดาทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนใดได้เลย เนื่องจากมีพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อไม่ให้โรงเรียนรับบุตรธิดาผู้ป่วยโรคเรื้อนเข้าเรียน และถ้าปล่อยทิ้งไว้กับบิดามารดาก็จะทำให้ติดโรคได้ ทรงมีความห่วงใยชีวิตและอนาคตของเด็กเหล่านี้ จึงมีพระมหากรุณาธิคุณให้มูลนิธิราชประชาสมาสัยดำเนินการจัดสร้างโรงเรียนขึ้น และได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินมากับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาทรงพิธีเปิดโรงเรียนเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.. 2507
ต่อมาได้ดำเนินการจัดสร้างโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาผ่านมูลนิธิราชประชาสมาสัยเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปี เพื่อเอาไว้รองรับนักเรียนที่จะจบการศึกษาจากโรงเรียนราชประชาสมาสัยให้มีแหล่งศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยได้พระราชทานนามเมื่อแรกสร้างว่า โรงเรียนราชประชาสมาสัยรัชดาภิเษก แต่ในภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนราชประชาสมาสัย ฝ่ายมัธยม รัชดาภิเษก ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2528
  • โรงเรียน ภ... ราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการจัดตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับอยู่ประจำขึ้นโปรดให้จัดการศึกษาแบบ Public School ของอังกฤษ โดยให้มีระบบการศึกษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกหัดกุลบุตรให้เป็นสุภาพบุรุษ และพระราชทานนามภาษาไทยว่า “โรงเรียนราชวิทยาลัย” หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า King’s College” ต่อมาในปี พ.. 2469 ด้วยสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันเป็นผลพวงมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยไปรวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและโรงเรียนพรานหลวง และได้พระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย” ในปี พ.. 2474
อย่างไรก็ตามในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยในการก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมาใหม่ โดยขอใช้สถานที่ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สามพราน เดิมจากกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งยังทรงพระราชทานอักษรพระปรมาภิไธยย่อ (ภ...) นำหน้าชื่อโรงเรียนราชวิทยาลัย และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นที่มาของชื่อโรงเรียนในปัจจุบัน “โรงเรียน ภ... ราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์” ปัจจุบันรับนักเรียนชาย และเปิดทำการสอนในสายสามัญศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 5 ถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยนักเรียนทุกคนต้องอยู่ประจำในหอพักของโรงเรียน ซึ่งเรียกว่าบ้าน มีทั้งหมด 4 บ้าน ได้แก่ สีแสด สีเหลือง สีม่วง และสีแดง ตามสีประจำวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอและสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง พระองค์ เพื่อฝึกอบรมให้นักเรียนมีศีลธรรม และวัฒนธรรมอันดีงาม มีพลานามัยสมบูรณ์ จิตใจเป็นสุข มีระเบียบวินัย เคารพผู้ใหญ่ มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพึ่งตนเองได้
  • มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านทางดาวเทียม
การศึกษาทางไกลผ่านทางดาวเทียม ถือกำเนิดจากสำนักงานเลขาธิการพระราชวังได้เสนอแนะเป็นเบื้องต้นที่จะนำเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบโทรคมนาคมมาใช้กับโรงเรียนในโครงการตามพระราชดำริ เช่น โรงเรียนวังไกลกังวล และโรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา โดยร่วมกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและบริษัทชินวัตร แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ในปี พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติปีกาญจนาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพ ช่วยโรงเรียนที่ขาดแคลนครูสาขาวิชาต่างๆ และช่วยโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลได้รับโอกาสเท่าเทียมกับโรงเรียนในเมือง โดยมีโรงเรียนวังไกลกังวลเป็นแม่ข่าย ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ในการดำเนินการในชั้นแรกกว่า 50 ล้านบาทเป็นทุนประเดิม และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน บริษัท ตลอดจนบุคคลทั่วไปเป็นจำนวนมาก โดยมีกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ตั้งงบประมาณสนับสนุนเป็นรายปีทุกปี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งสถานีส่งโทรทัศน์เพื่อการนี้ขึ้นที่โรงเรียนวังไกลกังวล และมีการจัดตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นเพื่อบริหารงาน โดยใช้ชื่อว่า "มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมมีสำนักงานอยู่ที่อาคารกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ใช้ตราสัญลักษณ์กาญจนาภิเษกเป็นเครื่องหมายของมูลนิธิ ทำให้ผลลัพธ์ในเชิงปริมาณ คือทำให้สถานศึกษาทุกสังกัดจัดการศึกษาในระบบชั้นเรียนมีโอกาสขยายการดำเนินงานได้กว้างขวางมากขึ้น ทางด้านคุณภาพทำให้นักเรียนชนบทห่างไกลมีโอกาสได้รับความรู้และศึกษาเล่าเรียนกับเหมือนกับนักเรียนในเมือง รวมถึงประชาชนผู้สนใจใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้อีกด้วย
  • โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ให้การอุปถัมภ์ทางด้านการศึกษาแก่พระราชโอรส พระราชธิดา บุตร-ธิดาของข้าราชบริพาร และบุคคลทั่วไปเท่านั้น พระองค์ยังทรงเมตตาและให้ความสำคัญต่อเยาวชน และพสกนิกรที่เป็นชาวไทยภูเขาหรืออาศัยอยู่ในท้องถิ่นชายแดนห่างไกลการคมนาคม โดยพระองค์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ร่วมสร้างโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อสอนหนังสือให้แก่ชาวเขาและประชาชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ทรงพระราชทานนามว่า "โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์" ที่ให้การศึกษาในระดับก่อนประถมและประถมศึกษา ทำให้เยาวชนเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนรู้หนังสือไทย ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมไทย อีกทั้งยังสามารถปลูกฝังสร้างสำนึกความเป็นไทยให้ชาวเขาได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงและปลอดภัยของชาติ ซึ่งแรกเริ่มโรงเรียนเจ้าพ่อหล่วงอุปถัมภ์ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน แต่ต่อมาในภายหลังเมื่อท้องถิ่นต่างๆมีความเจริญมากขึ้น ทำให้หน่วยงานของรัฐฯสามารถเข้าไปดำเนินการและรับผิดชอบโดยตรงได้เอง โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ทั้ง 10 โรงเรียนในปัจจุบันจึงขึ้นตรงต่อหน่วยงานราชการในพื้นที่นั้นๆ
  • โรงเรียนร่มเกล้า
โรงเรียนร่มเกล้า เป็นอีกสถาบันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญถึงความสำคัญของเยาวชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนับย้อนไป 40 กว่าปีก่อน พื้นที่ทางเขตชายแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ยังเป็นดินแดงที่ห่างไกลความเจริญและไม่มีสถาบันการศึกษาเปิดสอนมากมายนัก ทำให้เยาวชนของชาติถูกชักจูงไปเข้าร่วมกับกลุ่มที่มีอุมการณ์ที่แตกต่างทางการเมือง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อสร้างโรงเรียนที่บ้านหนองแดนเพื่อให้การศึกษาและป้องกันไม่ให้เยาวชนถูกชักจูงไปในทางที่ผิด และทรงพระราชทานนามโรงเรียนว่า "โรงเรียนร่มเกล้า" โดยในปัจจุบันมีมากกว่า 10 โรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดารตามแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีหลักสูตรทางด้านวิชาชีพเสริมเพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย ไม่ได้มีเพียงแค่หลักสูตรประถมและมัธยมศึกษา อันเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ต้องการส่งเสริมให้พสกนิกรมีอาชีพสุจริตในการประกอบการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัวได้
  • โรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน
ตามที่ได้เห็นพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาที่ผ่านมาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพสกนิกรและเยาวชนในทุกระดับชนชั้นไม่เว้นแม้แต่เด็กยากจนที่ขาดที่พึ่งและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร จึงทรงรับสั่งโปรดเกล้าให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นในวัดเป็นประเภทโรงเรียนราษฎร์ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้จัดการโรงเรียน และขอความร่วมมือจากคณะสงฆ์ในการช่วยอุปถัมภ์ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ประศาสตร์วิชาความรู้ให้แก่นักเรียน โดยในปัจจุบันมี 3 โรงเรียนที่ได้รับพระราชทานทุนทรัพย์จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในการก่อตั้งและจัดการธุรกรรมต่างๆของโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนมัธยมวัดศรีจันทร์ประดิษฐ์ โรงเรียนนนทบุรีวิทยา และโรงเรียนวัดบึงเหล็ก
  • โรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือตามความจำเป็นเร่งด่วน
เรียกได้ว่าเป็นพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาอันล่าสุดก็ว่าได้ โดยเกิดขึ้นมาจากมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2505 ที่สร้างความเสียหายกว่า 12 จังหวัดทั่วภาคใต้ ด้วยความห่วงใยที่มีต่อพสกนิกรผู้ประสบภัยทั้งหลายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งหลายมาช่วยกันบริจาคทรัพย์และสิ่งของสาธารณูปโภคทั้งหลาย พร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โดยเสด็จพระราชกุศลแด่กระทรวงศึกษาธิการในกาก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลที่ถูกพายุพัดพังทั้งหลาย โดยโปรดเกล้าให้พระราชทานนามโรงเรียนทั้ง 12 โรงเรียนว่า "โรงเรียนราชประชานุเคราะห์" ตามจังหวัดต่างๆทั้ง 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ต่อมาในภายหลัง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ร่วมกับจังหวัดที่ประสบภัยอื่น และมีการสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ เพิ่มเติมอีก 6 แห่ง ใน 4 จังหวัดดังนี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดเชียงราย และจังหวัดมหาสารคาม โดยโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ได้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสามัญศึกษา และมีมากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ


นี่ก็เป็นเพียงแค่พระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาด้านแรกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาในระบบโรงเรียน...เดี๋ยวในฉบับถัดไปทางทีมงาน CPSydney จะมาเขียนถึงพระราชกรณียกิจทางด้านการศึกษาด้านอื่นๆให้น้องๆเพื่อนๆได้อ่านกันอีกนะครับ

"ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย...ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดมิได้"

#ทีมงานCPSydney

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วีซ่านักเรียนออสเตรเลียรูปแบบใหม่ (SSVF)

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวกันก่อนกับ Visa Talk by CP Sydney...เราเป็นบริษัทเอเจนท์ตัวแทนที่ให้ความรู้คำแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาต่อและอพยพถิ่นฐานมายังประเทศออสเตรเลียนะครับ โดยบทความในฉบับแรกนี้ก็จะเป็นตามหัวข้อเลยนะครับ "วีซ่านักเรียนออสเตรเลียรูปแบบใหม่ SSVFซึ่งที่จริงแล้วก็ได้ประกาศใช้มาพักนึงแล้วแหล่ะตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา แต่ถ้าหากใครยังไม่รู้ว่าวีซ่านักเรียนออสเตรเลียรูปแบบใหม่เป็นยังไง ก็ลองอ่านบทความนี้ดูกันได้เลยนะครับ

วีซ่านักเรียนออสเตรเลียรูปแบบใหม่จะมีชื่อเรียกว่า Simplified Student Visa Framework (SSVF) โดยเจ้าระบบใหม่ตัวนี้จะมีผลบังคับใช้สำหรับผู้ที่จะยื่นวีซ่าหลังจาก วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไปจ่ะ โดยที่การเปลี่ยนแปลงหลักๆก็จะมีดังต่อไปนี้ครับ

1. เป็นการยื่นวีซ่าผ่านระบบ online เท่านั้น จะไม่มีการยื่นเป็นเอกสารเข้าไปให้อิมฯอีกต่อไป...แต่จากการที่ประเทศไทยเพิ่งถูกเพิ่มให้เป็นประเทศที่ต้องมีการเก็บข้อมูล Biometrics ทำให้หลังจากที่ยื่นวีซ่าเข้าไปเราจะต้องไปถ่ายรูปและเก็บลายนิ้วมือไว้เป็นฐานข้อมูลในการยื่นวีซ่ากับทาง VFS ครับ (ตอนนี้ที่ไทยมีอยู่แค่ 2 ที่คือ กรุงเทพฯ และ เชียงใหม่)

2. ไม่มีการแบ่งวีซ่านักเรียนออกเป็น subclass ตามหลักสูตรการเรียนที่สมัครมาอีกแล้ว ต่อไปนี้นักเรียนทุกคนจะถือ subclass เดียวกันหมด คือ subclass 500 แต่จะมีการแบ่งความเสี่ยงออกเป็น 2 ประเภทจากสถาบันที่สมัครเรียน และสัญชาติที่ถือตามพาสปอร์ต โดยจะมีผลต่อการเตรียมเอกสารในการยื่นวีซ่า ดังนี้
  • กลุ่มความเสี่ยงต่ำ (Streamlined: S) นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มนี้จะไม่ต้องโชว์หลักฐานทางการเงินและผลวัดระดับความสามารถทางภาษา (แต่อาจจะมีการขอเอกสารเพิ่มเติมภายหลัง หากทางเจ้าหน้าที่ไม่เชื่อว่าเรามีจุดประสงค์ที่จะมาเรียนจริงๆ)
  • กลุ่มความเสี่ยงสูง (Regular: R) กลุ่มนี้จะต้องยื่นเอกสารทุกอย่างให้ครบตั้งแต่แรกรวมถึงหลักฐานทางการเงินและผลวัดระดับความสามารถทางภาษา หากยื่นไม่ครบเจ้าหน้าที่อิมฯมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเคสได้ทันทีโดยที่ไม่มีการเรียกขอเอกสารเพิ่มเติม หรือในอีกกรณีอิมฯเขาอาจจะไม่พิจารณาเคสของเราเลยก็ได้
3. การเปลี่ยนคอร์สเรียนจะสามารถทำได้ในกรณีเดียวคือการเปลี่ยนจากหลักสูตรปริญญาเอกลงมาเป็นระดับปริญญาโทเท่านั้น ถ้าเป็นการเปลี่ยนระดับการเรียนให้ต่ำลงจากกวีซ่าที่ถืออยู่จะต้องยื่นวีซ่าใหม่ให้ตรงกับคอร์สใหม่ที่จะไปเรียน ถ้าไม่เปลี่ยนให้ตรงกันจะถือว่าทำผิดเงื่อนไขของวีซ่าทำให้ถูกยกเลิกวีซ่าตัวดังกล่าวหรือไม่ก็จะมีผลต่อการขอวีซ่าในครั้งถัดไป

นี่ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักๆนะครับ เพราะฉะนั้นการเลือกสถาบันกับสัญชาติของนักเรียนจะมีผลต่อการขอวีซ่าเป็นอย่างมาก ยังไงลองดูรูปปลากรอบ เอ๊ยยยย รูปประกอบด้านล่าง เพื่อจะได้เข้าใจการแบ่งความเสี่ยงของระบบ SSVF กันมากขึ้นนาจาาา
จากตารางก็จะเห็นว่าสถาบันและสัญชาติจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ระดับด้วยกัน ซึ่งส่งผลการเตรียมเอกสารจะแบ่งออกเป็น S กับ R ตามที่ได้บอกไปในตอนแรก ซึ่งเพื่อนๆน้องคนไทยยังโชคดีที่อยู่ในระดับ 2 ทำให้อาจจะไม่มีผลกระทบกับการเตรียมเอกสารมากนักนะครับ แต่อย่างที่บอกไปว่า ในกรณีที่อิมฯเขาสงสัยหรือไม่เชื่อว่าเรามีจุดประสงค์ที่จะมาเรียนจริงๆ นักเรียนคนนั้นก็อาจจะถูกเรียกสัมภาษณ์และต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมดังนี้จร่ะ
1. เอกสารทางการเงิน โดยจะสามารถเลือกได้จาก 3 อย่างดังต่อไปนี้
  • Bank statement ย้อนหลัง 6 เดือน จากผู้สนับสนุนทางการเงินที่จะต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายในออสเตรเลียเป็นระยะเวลา 1 ปี (ตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อปีจะถูกกำหนดโดยอิมฯ), ค่าเดินทาง (ตั๋วเครื่องบิน), และค่าเทอมที่เหลือในปีแรก ตัวอย่างเช่น น้องศักรินทร์ลงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษพ่วงมากับหลักสูตร diploma จะต้องมีเงินโชว์ในยอดสุดท้ายประมาณ A$19,830 + A$850 + A$4,500 = A$25,180 โดยประมาณ (อันนี้เอาไปคูณกลับเป็นเงินไทยกันเองนะจ๊ะ)
  • ผู้สนับสนุนต้องมีหลักฐานที่ระบุว่ามีรายรับต่อไม่ต่ำกว่า A$60,000 สำหรับนักเรียน 1 คน หรือจะต้องมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า A$70,000 สำหรับนักเรียนที่มีคนติดตามมาด้วยอีก 1 คน
  • ฟอร์มตอบรับการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในระดับมัธยมศึกษา
2. ผลวัดระดับความสามารถทางภาษา IELTS หรือเทียบเท่า โดยที่ควรจะได้คะแนนประมาณ 4.5 overall สำหรับ IELTS นะครับ แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นในกรณีของ
  • ผู้สมัครได้เรียนในหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษเป็นเวลา 5 ปีเป็นอย่างน้อยในประเทศออสเตรเลีย แคนาดา แอฟริกาใต้ สาธรณรัฐไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร หรือสหรัฐอเมริกา
  • มีวุฒิฯการศึกษาในระดับมัธยมปลาย หรือ Certificate IV หรือสูงกว่าจากสถาบันการศึกษาในออสเตรเลียที่มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีก่อนที่จะยื่นวีซ่า subclass 500
นี่ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับวีซ่ารูปแบบใหม่ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วนะครับ จริงอยู่ที่ว่าอาจจะไม่มีผลกระทบกับน้องๆเพื่อนๆนักเรียนคนไทยสักเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเอาให้ปลอดภัยที่สุดเราก็ควรจะมีหลักฐานทุกอย่างพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่จะยื่นเอกสารเข้าไป อย่าไปหลงเชื่อคำบางเอเจนท์ที่การันตีบอกว่าไม่ต้องหลักฐานทางการเงินผ่านชัวร์ 100% คือถ้าเราไม่ได้ลงเรียนในสถาบันที่อยู่ในระดับที่ 1 เราก็ยังมีสิทธิ์โดนขอเอกสารเพิ่มเติม 2 ตัวนี้ได้ทุกเมื่อครับ เพราะฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกว่า

สำหรับบทความปฐมฤกษ์ชิ้นแรกนี้ หากน้องๆเพื่อนๆมีคำตำหนิติชมเพิ่มเติมใดๆก็แนะนำกันเข้ามาได้เลยนะครับ หรือหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการมาเรียนต่อในประเทศออสเตรเลียก็ติดต่อเรามาได้ที่ +61 2 9267 8522 (สำหรับเบอร์โทรในออสเตรเลีย) หรือจะกดไลค์เข้ามาติดตามดูข้อมูลข่าวสารโปรโมชั่นดีๆจากทาง CP Sydney ได้ที่ www.facebook.com/cpsyd ก็สามารถทำได้เช่นกันนะครับ...ไว้เดี๋ยวคราวหน้าจะนำเรื่องราวดีๆที่เป็นประโยชน์มาเล่าให้ฟังอีก สำหรับวันนี้ลาไปก่อน สวัสดีจร้าาา
น้าหนวดCPSydney