วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เผื่อใครยังไม่ได้อ่าน...Skilling Australians Fund (SAF) และค่า Visa Application ที่เพิ่มขึ้น

กลับมาแล้วจร้าาา หลังจากที่หายหน้าหายตาไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เดี๋ยวฉบับนี้น้าหนวดจะอัดเนื้อหาให้รวดเดียวไปเลยละกันนะครับ

เริ่มแรกเลย Skilling Australians Fund (SAF) คืออะไร และเกี่ยวข้องอะไรกับคนไทยอย่างเราๆกันบ้างหรือเปล่า...เอาง่ายๆเลยครับ SAF ก็คือ ค่า Training Benchmark ที่ผู้ประกอบการจะต้องชำระให้กับทางหน่วยงานรัฐบาลในกรณีที่มีการสปอนเซอร์พนักงานให้ทำงานในหน่วยงานของตนไม่ว่าจะเป็นวีซ่านายจ้างสปอนเซอร์แบบเก่า (subclass 457) หรือแบบใหม่ (subclass 482) ก็ตาม โดยในตอนนี้เนี่ยะ SAF ได้รับการรับรองให้เป็นพระราชบัญญัติบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเข้ามาแทนที่ Training Benchmark อย่างเบ็ดเสร็จ เหลือเพียงแค่วันบังคับใช้เท่านั้นที่ยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่

มาว่าต่อกันที่เรื่องของผลกระทบกันเลยดีกว่า แน่นอนว่าจะมีผลกระทบกับบุคลลด้านบน และจะไม่ได้มีผลกระทบแค่ในช่วงของการทำวีซ่าทักษะตัวใหม่ 482 เท่านั้น เพราะมันจะกระทบยาวไปถึงขั้นตอนการทำ PR ผ่านทางวีซ่าทักษะที่มีนายจ้างสปอนเซอร์ด้วยนี่แหล่ะ เพราะฉะนั้นวีซ่าที่จะมีผลกระทบจากเจ้าตัว SAF นี้ก็จะมี 3 ตัวดังต่อไปนี้ ได้แก่
  1. Temporary Skill Shortage visa (subclass 482)
  2. Employer Nomination Scheme (subclass 186)
  3. Regional Sponsored Migration Scheme visa (subclass 187)
คราวนี้มาต่อกันในเรื่องของรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงดีกว่า
  • Temporary Skill Shortage visa (subclass 482) - ถ้าหากมีผลประกอบการมากกว่า 10 ล้านเหรียญ/ปี จะต้องชำระเงินค่า SAF เป็นจำนวน A$1,800 ต่อพนักงาน 1 คนที่ต้องการจะสปอนเซอร์ แต่ถ้าหากมีผลประกอบการต่ำกว่า 10 ล้านเหรียญ/ปี ก็จะลดเหลือ A$1,200 ต่อพนักงาน 1 คนที่ต้องการจะสปอนเซอร์
  • Employer Nomination Scheme (subclass 186) & Regional Sponsored Migration Scheme visa (subclass 187) - ก็หลักการเดียวกันเลยครับ คือ จะต้องชำระเงินค่า SAF เป็นจำนวน A$5,000 ต่อพนักงาน 1 คนที่ต้องการจะสปอนเซอร์ในกรณีที่มีผลประกอบการมากกว่า 10 ล้านเหรียญ/ปี และจะลดเหลือ A$3,000 ต่อพนักงาน 1 คนที่ต้องการจะสปอนเซอร์ในกรณีที่มีผลประกอบการต่ำกว่า 10 ล้านเหรียญ/ปี
อย่างไรก็ตามเรื่อง SAF ตัวนี้ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้แต่อย่างใด เพราะถึงแม้จะมีประกาศออกมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมที่่านมาว่าให้มีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติ แต่กระนั้นก็ดีกลับยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าเจ้าตัว SAF จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ แต่รับรองว่าถ้า พ.ร.บ. ตัวนี้มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่น้าหนวดจะรีบมาอัพเดทให้ฟังอย่างแน่นอนจ่ะ...ถ้าใครอยากหาข้อมูลอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SAF ก็สามารถเข้าไปหาอ่านได้เลยที่ http://www.legislation.gov.au/Details/C2018A00039/Download

จบไปหนึ่งมาว่าต่อกันอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็คือในเรื่องของ VISA APPLICATION FEE ที่ถูกปรับให้มีราคาสูงขึ้นนั่นเอง ครับ สำหรับในเรื่องของการขึ้นค่าวีซ่าได้มีการประกาศออกมาตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง ก็ยังคง concept ประกาศปุ๊บใช้ปั๊บเหมือนการขึ้นวีซ่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมาเหมือนเดิม สงสัยช่วงนี้อิมฯจะร้อนเงิน555...การประกาศรอบนี้ก็ขึ้นกันทุกวีซ่าเลยครับ แต่ยังเคราะห์ดีที่อิมฯยังมีเมตตาขึ้นมาไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็หลักสิบทั้งนั้น จะมีก็แค่ไอ้ตัว Partner Visa เท่านั้นแหล่ะที่ขึ้นมาเยอะกว่าชาวบ้านเขาเหมือนเดิม ตัวอย่างเช่น วีซ่านักเรียนก็เพิ่มจาก A$560 มาเป็น A$575 สำหรับ main applicant ก็เท่ากับว่าขึ้นมาแค่เพียง A$15 เท่านั้น หรือในกรณีของวีซ่านักเรียนที่มีคนติดตามยื่นวีซ่าเข้ามาพร้อมกันในฐานะคนติดตาม (Dependant) ก็จะมีสนนราคาค่าวีซ่าเพิ่มมาอีกที่ A$430 ครับ เดี๋ยวยังไงเราไปดูตารางที่ทาง CP Sydney office ของน้าหนวดทำสรุปมาให้ไว้ดีกว่าว่าวีซ่าแต่ละประเภทมีราคาเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่ โดยเราจะสรุปมาให้เฉพาะประเภทของวีซ่าที่เราพบเห็นกันเป็นประจำสำหรับหลานๆคนไทนเท่านั้นนะครับ
ประเภทวีซ่า
ราคาเดิม
ราคาที่ปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 July 2018
วีซ่าคู่ครอง คู่หมั้น (Partner Visa หรือ Prospective Marriage Visa)
A$7,000
A$7,160
วีซ่านักเรียน
A$560
A$575
วีซ่าทำงาน TSS ประเภทอาชีพอยู่ใน short stream
A$1,150
A$1,175
วีซ่าทำงาน TSS ประเภทอาชีพอยู่ในลิสต์พีอาร์
A$2,400
A$2,455
วีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ประเภทพีอาร์ ENS หรือ RSMS
A$3,670
A$3,755
สำหรับใครที่สนใจในวีซ่าประเภทอื่นๆ ก็สามารถเข้าไปคลิกดูราคาใหม่จากลิงค์ต้นฉบับที่ทาง Facebook Page ของเราได้ลงเอาไว้ได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2098843726853592&id=397245567013425 เลยนะครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนคือ ราคาวีซ่าพวกนี้ยังไม่ได้รวมกับค่า credit card surcharge ที่เป็นระบบการจ่ายเงินรูปแบบเดียวที่ทางอิมมิเกรชั่นอนุญาตให้เราชำระค่าวีซ่าผ่านทางการยื่นแบบออนไลน์ที่ IMMI Account ได้ เพราะฉะนั้นก็จะต้องเอาค่าวีซ่าในแต่ละประเภทเนี่ยะมาบวกกับ % ของ surcharge ตรงนี้ด้วยนะครับ...นอกจากนี้สำหรับคนที่ต่อวีซ่านักเรียน หรือวีซ่าบางตัวในออสเตรเลียตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป ก็อย่าลืมว่าจะต้องมีค่า SUBSEQUENT ENTRY อีก A$700 ต่อท่านอีกด้วยนะจ๊ะ แล้วก็ต้องเอาค่าวีซ่า ค่า subsequent และ credit card surcharge มารวมกันแบบนี้นะถึงจะได้เป็นค่าวีซ่าทั้งหมดที่เราจะต้องจ่ายให้กับอิมมิเกรชั่น

(Visa Application + Subsequent Entry) + Credit Card Surcharge = Total Visa Application Fee

ท้ายสุดไม่ใช่แค่ค่าวีซ่าเท่านั้นนะที่ขึ้นราคา ค่า Administrative Appeals Tribunal (AAT) ก็ขึ้นกับเขาด้วยเหมือนกัน สำหรับใครที่งงว่า AAT คืออะไร? AAT ก็คือหน่วยงานที่เราต้องใช้บริการในกรณีที่หลานๆทั้งหลายมีความประสงค์ที่จะขออุทธรณ์หลังจากที่ถูกปฏิเสธวีซ่า ก็เท่านั้นแหล่ะ โดยค่า application fee สำหรับการทำ AAT ราคาใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาจะอยู่ที่ A$1,764 เพิ่มขึ้นมาจากราคาเดิมแค่เพียง A$33 ครับผม...และท้ายที่สุดที่เจ็บกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ก็คือ ค่า OPAL ก็ขึ้นกับเขาด้วยนาจาาา เรียกได้ว่า ขึ้นกันทั้งระบบ ไม่ปรึกษาคนจ่ายเลย555 สำหรับรายละเอียดการขึ้นราคาของค่าโดยสารก็สามารถเข้าไปดูกันได้ที่ https://www.opal.com.au/en/news/opalnews/news_25June2018.html

ส่งท้ายฉบับนี้ด้วยทริปสุดพิเศษจากทาง CPSydney office "CPSydney The Snowy Mountain 2018...หนาวนี้ CPSydney ชวนมาตะลุยหิมะ ท้าความหนาวไปด้วยกัน" สนนราคาแค่เพียง A$89/ท่าน หรือถ้าจะมากันเป็นหมู่คณะตั้งแต่ 4 คนขึ้นไปก็จะเหลือแค่เพียง A$80/ท่าน เท่านั้นนะจ๊ะ ออกเดินทางคืนวันศุกรที่ 17 สิงหาคมนี้ และกลับมาถึง Sydney อีกทีในคืนวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม...สำรองที่นั่งกันเข้ามาได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ (+61) 2 9267 8522 หรือ LINE ID: cpsydney2 ไม่ใช่ลูกค้าหรือนักเรียนของ CPSydney office ก็ไปเที่ยวด้วยกันได้นะครับ เราจัดเพียงรอบเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นหมดแล้วหมดเลย ค่อยไปเจอกันใหม่ในปีหน้าเลยนะจ๊ะ


#ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น