วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

MyFutureMyCP: ชุดใหญ่ไฟกระพริบ จัดให้ทีเดียว 3 สถาบันเลยละกัน!!!

MyFutureMyCP กลับมาละจร้าาาา หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปนาน น้าหนวดต้องขอโทษด้วยจริงๆ มัวแต่เอาเวลาไปเขียนบทความหลักอื่นๆอยู่ มานึกได้อีกทีก็เพิ่งจะสำเหนียกได้ว่า ไม่ได้มาเขียนแนะนำสถาบันให้หลานๆได้อ่านมานานถึง 3 เดือนแล้ว...เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉบับนี้จะจัดให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบตามที่ได้จั่วหัวข้อเลยละกันนะ

MyFutureMyCP 2018/3-5 ในฉบับนี้เราจะไปกันอย่างรวดเร็ว เพราะจะมีถึง 3 สถาบันด้วยกันที่วันนี้น้าหนวดจะมาเขียนแนะนำให้ได้รู้จักเพิ่มเติมกันไปอีก

มาเริ่มกันเลยที่สถาบันแรก Kaplan Business School (KBS)
Kaplan Business School ไม่ใช่สถาบันไก่กาอาราเล่แต่อย่างใดนะจ๊ะเด็กๆ เชื่อหรือไม่ว่า KBS เนี่ยะมีอายุอานามกว่า 80 ปีแล้ว (มากกว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งในออสเตรเลียอีกนะ555) แล้วรู้หรือไม่ว่าต้นตำรับของ KBS เนี่ยะก็ไม่ได้จากในประเทศออสเตรเลียนะจ๊ะ มาจากประเทศสหรัฐอเมริกานู่นเลย เพิ่งจะมา GRAND OPENING ในแดนจิงโจ้แห่งนี้เมื่อปี 2006 นี่เอง จนมาปัจจุบันก็สามารถขยายสาขา campus ต่างๆได้ถึง 4 แห่ง ได้แก่ Sydney, Melbourne, Adelaide, และ Brisbane ภายในระยะเวลาแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น

รู้ถึงประวัติความเป็นมาของสถาบันไปแล้ว คราวนี้มาดูต่อกันหน่อยว่า ทำไมเด็กๆถึงควรลองพิจารณาสถาบันแห่งนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของการเรียนในระดับปริญญาตรี และปริญญาโทไว้ในอ้อมใจกันดูบ้าง
  1. Affordable Tuition Fee: ถึงแม้จะมีแต่หลักสูตรปริญญาตรี และปริญญาโทเป็นหลัก แต่รู้หรือไม่ว่าที่ KBS เนี่ยะ มีค่าเทอมถูกแสนถูกเมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันอื่นๆที่เปิดสอนในหลักสูตรเดียวกัน โดยค่าเทอมของที่ Kaplan Business School จะตกอยู่ที่เพียงประมาณ A$7,xxx ต่อเทอมเท่านั้น บอกได้เลยว่าถูกมากๆถ้าเทียบคุณภาพที่จะได้รับกับสถาบันอื่นๆที่ไม่ใช่มหา'ลัย แต่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี และปริญญาโทเหมือนกัน
  2. Professional Recognition: ทุกหลักสูตรของ KBS ได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงหน่วยงานในภาครัฐฯของออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรทางด้านการบัญชีที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางด้านบัญชีในออสเตรเลียเช่นเดียวกัน ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถนำคุณวุฒิที่ได้จากทางสถาบันไปต่อยอดในการทำวีซ่า 485 และ PR ได้ในอนาคตอย่างแน่นอนครับ
  3. Expert Lecturers: คณาจารย์ผู้ที่มีทั้งคุณวุฒิที่เหมาะสม และประสบการณ์ตรงทางด้านต่างๆ
  4. Global Career Prospects: ด้วยความที่ KBS ไม่ได้เป็นที่รู้จักแค่ในสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียเท่านั้น แต่ทว่ายังเป็นที่รู้จักในอังกฤษ และหลากหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยของเราอีกด้วย ทำให้ KBS เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และมีจุดแข็งมากๆในเรื่องของ GLOBAL CONNECTIONS จากการมี partnerships มากกว่า 1,000 แห่ง จาก 30 ประเทศทั่วโลก
  5. Careers Central: หนึ่งในจุดแข็งที่ดีที่สุดของ KBS คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการให้บริการในการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการหางาน รวมถึงโปรแกรมการฝึกงานระหว่างการเรียนจาก Careers Central Team ของทางสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น workshop ต่างๆตลอดปีในทั้ง 4 campuses และการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว โดยสิทธิพิเศษนี้จะมอบให้ทั้งนักเรียนปัจจุบัน และศิษย์เก่าที่จบไปแล้ว ไม่ได้สงวนสิทธิ์ให้เฉพาะนักเรียนปัจจุบันแต่อย่างใด
รู้ข้อดีของสถาบันแล้ว คราวนี้ถ้าสนใจที่จะเรียนที่นี่ต่อจริงๆ ก็ต้องมาดูกันว่าที่ Kaplan Business School เขามีหลักสูตรอะไรให้เรียนกันบ้าง
  • Bachelor of Business in different majors:
    • Accounting
    • Finance
    • Hospitality & Tourism Management
    • Management
    • Marketing
  • Graduate Certificate in Accounting
  • Master of Professional Accounting
  • Master of Accounting
  • Graduate Certificate in Business Administration
  • Graduate Diploma of Business Administration
  • Master of Business Administration in different majors:
    • Entrepreneurship
    • International Leadership
    • Health Services Management
    • Digital Management
    • Project Management

มาต่อกันเลยที่สถาบันที่สองและสามในคราวเดียวกัน Greenwich English College (GEC) และ Greenwich Management College (GMC)
Greenwich College เนี่ยะ แบ่งย่อยออกเป็น 2 โรงเรียน ได้แก่ Greenwich English College (GEC) สำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษ และ Greenwich Management College (GMC) สำหรับการเรียนการสอนในหลักสูตรวิชาชีพ

มาเริ่มกันที่ GEC สถาบันภาษากันก่อนเลย...ด้วยความที่อยู่ยงคงกระพันในอุตสาหกรรมการศึกษาออสเตรเลียมายาวนานถึง 13 ปี กอปรกับคุณภาพการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม ทำให้ GEC ถูกจัดให้เป็น private English course provider อันดับต้นๆของออสเตรเลียเลยก็ว่าได้ (private English course provider ในที่นี้ เราจะไม่นับรวมถึงสถาบันภาษาของมหาวิทยาลัยต่างๆนะครับ) ถ้าไม่เจ๋งจริง หรือไม่ได้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง คงไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศูนย์สอบ Cambridge Exam หรอกครับ ก็เหมือนกับที่ Navitas English ได้เป็นศูนย์สอบของ IELTS นั่นแหล่ะ

นอกจากจะเปิดมานาน มีคุณภาพการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม และเป็นศูนย์สอบ Cambridge Exam ในออสเตรเลีย...GEC ยังเป็นสถาบันภาษาที่มี Cambridge course เปิดสอนเยอะที่สุดในออสเตรเลียอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ หนูๆยังสามารถเลือก GEC เป็นศูนย์สอบสำหรับการสอบ BULATS และ OET ได้อีกด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในหนึ่งปีถึงมีนักเรียนต่างชาติกว่า 1,500 คนจาก 30 ประเทศทั่วโลกถึงเลือกที่จะมาเรียนที่ GEC ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่ Sydney หรือ Melbourne ก็ตาม

ก่อนจะข้ามไปที่ GMC เรามาดูกันต่ออีกสักนิดดีกว่าว่า GEC ยังมีข้อดีอะไรอีกบ้างที่ทำให้น้องๆนักเรียนหลายๆคนถึงตัดสินใจมาเรียนที่นี่
  1. Location: อย่างที่บอกไปว่าน้องๆจะสามารถเลือกเรียนได้ทั้งที่ Sydney และ Melbourne ซึ่งนับได้ว่าเป็นเมืองใหญ่ทั้งคู่ แต่ที่ยิ่งดีไปกว่านั้นคือทั้ง 2 campus เนี่ยะ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเลย ทำให้สะดวกมากในการเดินทางไปเรียน
  2. Course articulations: น้องๆที่จบหลักสูตรภาษาจากที่ GEC จะสามารถนำผลภาษาที่เรียนจบไปใช้สมัครเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้กับสถาบันชื่อดังต่างๆ อาทิเช่น TAFE NSW, Macquarie University, University of Wollongong, Torrens University ฯลฯ
  3. Course varieties: อย่างที่บอกไปแต่แรกว่า GEC เป็นโรงเรียนภาษาที่มี Cambridge course เยอะที่สุดในออสเตรเลีย โดยจะมีตั้งแต่ระดับ Beginner ไล่ยาวไปถึง Advanced แต่อีกสิ่งที่ทำให้ GEC มีความโดดเด่นกว่าที่อื่นก็คือ พี่แกมีหลักสูตรภาษาอังกฤษให้เลือกเรียนมากถึง 17 หลักสูตรด้วยกัน
  4. Tuition fee: หลายๆคนอาจจะพอทราบว่าแต่ละหลักสูตรก็จะมีราคาค่าเรียนภาษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่ GEC เนี่ยะ ราคาเดียวกันในทุกคอร์สเลยนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นในกรณีที่อยากจะเปลี่ยนคอร์สก็สามารถเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องเสียค่าเรียนเพิ่มเติมแต่อย่างใดครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องดูความเหมาะสมของหลักสูตรที่จะย้ายไปด้วยนะครับว่าเราจะสามารถเรียนได้รึเปล่า ในกรณีที่นักเรียนบางคนอาจจะต้องเรียนหลักสูตรวิชาชีพหลังจากที่เรียนภาษาเสร็จ
จบจากโรงเรียนภาษา ก็มาซัดกันต่อเลยกับ GMC ที่สอนหลักสูตรวิชาชีพกันเลยดีกว่า...GMC เองก็จัดได้ว่าเป็นสถาบันต่อยอดน้องใหม่ที่ทาง Greenwich College ขยายแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเพิ่มเติมจาก Greenwich English College โดยให้สถาบันสอนวิชาชีพมีชื่อว่า Greenwich Management College หรือ GMC นั่นเอง ซึ่งที่ GMC เนี่ยะ น้องๆหลานๆจะสามารถเลือกเรียนได้ใน 3 ระดับชั้นการเรียนด้วย ได้แก่ Certificate IV, Diploma, และ Advanced Diploma และมีหลักสูตรวิชาชีพให้เลือกเรียนทั้งหมด 6 สาขาด้วยกัน ได้แก่
  • Business
  • Leadership and Management
  • Project Management
  • Program Management
  • Marketing and Communication
  • Event Management
ถึงแม้จะเป็นสถาบันต่อยอดน้องใหม่ แต่ก็ไม่ได้อ่อนประสบการณ์อย่างที่คิดนะครับ อย่าลืมว่าอันนี้มันไม่ใช่โรงเรียนเปิดใหม่ไก่กาอาราเล่ มันเป็นโรงเรียนที่ได้รับการต่อยอดขยายกิ่งก้านสาขาเพิ่มช่องทางทางการตลาดให้กับตัวเอง ทำให้ GMC ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะ Grand Opening เปิดให้น้องๆได้เรียนในเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดี๋ยวเรามาดูกันว่า GMC มีข้อดีอะไรเพิ่มเติมอีกบ้างที่ทำให้น้าหนวดแนะนำให้หลานๆรู้จัก และลองพิจารณาเก็บไว้ในอ้อมใจกันดู
  1. Flexible timetable: มีทั้งแบบไปเรียนวันเดียวเต็มวัน หรือจะเอาแบบเรียนครึ่งวัน 2 วันก็ได้ เพราะฉะนั้นก็จะค่อนข้างมีเวลาให้ได้ใช้สอยตามอัธยาศัยกันพอสมควรเลยครับ
  2. Cheap tuition fee: เชื่อหรือไม่ว่า ค่าเทอมของที่ GMC มีสนนราคาอยู่แค่เพียง A$1,000/term เท่านั้น ถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้วจริงๆ
  3. Scholarship availability: อันนี้เรียกได้ว่าแปลกสุดๆไปเลย เพราะปกติพวกทุนการศึกษาเนี่ยะ จะมีเฉพาะในสถาบันที่สอนพวกหลักสูตรปริญญาตรีขึ้นไปทั้งนั้น แต่นี่มีทุนการศึกษามูลค่า A$2,000 ให้กับน้องๆที่เรียนในระดับ Advanced Diploma ด้วยนะจ๊ะ
  4. Industry engagement and Internship opportunities:
สำหรับฉบับนี้น้าหนวดต้องขอลาไปก่อน ไว้เดี๋ยวในฉบับหน้าจะมาเล่าอะไรให้ฟังก็ต้องลองติดตามอ่านกันดูนะครับ...หากใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อมาที่ CPSydney office ได้ทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ +61 2 9267 8522 หรือจะทักมาหากันที่ Facebook Page ของทางบริษัทก็สามารถทักกันมาได้ที่ www.facebook.com/cpsyd


#ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney
#น้าหนวด

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561

(ฉบับแก้ไข) ข่าวดี...โดนปฏิเสธ PR (subclass 186) มา ก็ยังสามารถอุทธรณ์และทำให้ AAT กลับคำตัดสินได้นะ!!!

ฉบับนี้เป็นฉบับเฉพาะกิจครับ เพราะเพิ่งได้ผลการตัดสินมาจาก Administrative Appeals Tribunal (AAT) กันแบบสดๆร้อนๆเลย (ที่จริงก็ไม่ได้สดๆร้อนๆมากหรอก ได้ผลการตัดสินมาตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมละครับ แต่เพิ่งจะมีเวลามาเล่าสู่กันฟังในวันนี้) ก็ตามหัวข้อเลยครับ "โดนปฏิเสธ PR (subclass 186) มา ก็ยังสามารถอุทธรณ์และทำให้ AAT กลับคำตัดสินได้นะ!!!" เดี๋ยวเรามาดูกันเลยว่าเรื่องราวของกรณีตัวอย่างเคสนี้มีความเป็นมาอย่างไร

ก่อนอื่นขอใช้แทนนามสมมติสำหรับผู้เกี่ยวข้องในกรณีตัวอย่างนี้ ดังต่อไปนี้นะครับ
  • ชื่อร้าน: ร้านนวด A
  • ชื่อผู้สมัคร:คุณ X
  • ชื่อสามีของผู้สมัคร: คุณ Y
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า คุณ X เนี่ยะได้ถูกปฏิเสธการขอ PR ผ่านทางวีซ่า subclass 186 ที่เป็นวีซ่าข้ามฝั่งมาจากวีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ subclass 457 ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณ X ใส่ชื่อตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ (ร้านนวด A) และไม่สามารถพิสูจน์ให้อิมมิเกรชั่นเชื่อว่าคุณ X ได้ทำงานในตำแหน่ง MASSAGE THERAPIST เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (อนึ่ง สำหรับการสปอนเซอร์พนักงานในร้านนวด จะมีเพียงตำแหน่งเดียวที่สามารถสปอนเซอร์ได้ และต่อยอดไปถึง PR ก็คือ ตำแหน่ง MASSAGE THERAPIST นี่แหล่ะ) คือเรื่องของเรื่องเอเจนท์เจ้ากรรมที่ทำเรื่องขอ PR ให้กับคุณ X เนี่ยะ ไปใส่ข้อมูลการทำงานทุกอย่างของคุณ X ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการร้าน และธุรกรรมอื่นๆ แทนที่จะมี scope งานเพียงแค่เป็น MASSAGE THERAPIST หรือการเป็นพนักงานนวดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นตามอาชีพที่ได้ยื่นขอ 457 ไป คือถ้าจะระบุว่ามีหน้าที่อื่นๆด้วยก็ต้องเป็นส่วนน้อยมากๆ เดี๋ยวเรามาดูตัว Decision Record ของคุณ X กันว่านางโดนไปกี่แผล อะไรยังไงบ้าง ซึ่งบทสรุปที่ AAT เขียนออกมาเนี่ยะมีความยาวถึง 8 หน้ากระดาษ A4 และจำแนกได้เป็น 54 ข้อสรุปด้วยกัน ซึ่งน้าหนวดจะขอสรุปข้อที่เป็นบาดแผลใหญ่ให้ได้อ่านโดยสังเขปเท่านั้นนะจ๊ะ แล้วก็จะแนบผล Decision Record ทั้งหมดไว้ท้ายบทความให้หลายๆท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานเพิ่มความรู้ไว้อีกทางด้วยละกันนะครับ แก้ไขในเรื่องของการแนบไฟล์ ทางเราขอเป็นแค่การแนบใบปะหน้า เพื่อพิสูจน์ว่าเคสนี้มีอยู่จริง (เอกสารจริง ไม่ใช่การของปลอมทำเหมือน เหมือนในกรณีที่เป็นข่าวอยู่แน่นอนครับ) เนื่องจากก่อนหน้านี้เราได้แนบผลการตัดสินทั้งหมด แต่ด้วยข้อมูลที่เยอะ และความผิดพลาดของผู้เขียนเอง...ทำให้ลบชื่อร้าน และชื่อเจ้าของเคสไม่หมด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ คุณ X
  • ตำแหน่งที่ยื่นเข้ามาเป็นตำแหน่ง Massage Therapist ภายใต้ Temporary Residence Transition (TRT) stream คือจะเป็น stream สำหรับคนที่ถือวีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ 457 มาก่อน โดยจะต้องทำงานให้กับนายจ้างคนนั้นเป็นเวลา 2 ปี ในตำแหน่งที่ได้ยื่น nomination เข้ามา ซึ่งคุณ X ก็ได้ยื่น PR เข้ามาในตำแหน่งดังกล่าว
  • คุณ X ถูกปฏิเสธการขอ PR เพราะว่าเจ้าหน้าที่อิมฯไม่เชื่อว่าคุณ X ได้ทำงานในฐานะ Massage Therapist จริง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของธุรกิจร้านนวด A ด้วยตัวเองอีกด้วย และจากเอกสารที่ได้แนบไปในตอนขอ PR เกี่ยวกับเนื้องานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง อิมมิเกรชั่นจึงอนุมานและกล่าวโดยสรุปได้ว่าคุณ X ไม่ได้ทำงาน Full Time เป็น Massage Therapist จริง ทำให้การขอ PR ของคุณ X ถูกปฏิเสธ
  • ทาง Tribunal (AAT) ได้เรียกให้คุณ X และสามี (คุณ Y) เข้าไปสอบสวนเพิ่มเติม (hearing) เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวในวันที่ 27 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา
  • ประเด็นโต้แย้งการ hearing ของคุณ X ก็มุ่งเน้นไปที่รายละเอียดของเนื้องานที่เอเจนท์เจ้ากรรมดันไปใส่รายละเอียดทั้งหมดเกินหน้าที่ของการเป็น MASSAGE THERAPIST นั่นแหล่ะ...คือในแต่ละอาชีพที่สามารถทำวีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ (457 เก่า) หรือ 482 ในปัจจุบันเนี่ยะ จะต้องมีขอบเขตของการทำงาน (Job Description: JD) สอดคล้องกับ JD ที่กำหนดขึ้นโดย ANZSCO ซึ่งในกรณีของอาชีพ Massage Therapist ทาง ANZSCO ก็ได้กำหนด JD ไว้ว่า "performs therapeutic massage and administers body treatment for relaxation, health, fitness, and remedial purposes" (ถ้าใครอยากรู้ว่า JD ของอาชีพ Massage Therapist ที่กำหนดโดย ANZSCO เป็นอย่างไรก็คลิกลิงค์ที่แปะไว้ให้ตรงนี้ได้เลยนะครับ http://www.abs.gov.au/ausstats/abs@.nsf/Product+Lookup/459A377532988862CA257B95001310C7?opendocument)
  • นอกจากนี้ ยังมีประเด็นในเรื่องของการทำงานระหว่างที่อยู่นอกประเทศของคุณ X อีกด้วย ที่ทางเอเจนท์เจ้าเดิมอีกเนี่ยะแหล่ะ ที่ดันไปให้ข้อมูลไว้ว่าคุณ X ยังคงทำงานเป็นปกติในระหว่างที่อยู่นอกประเทศออสเตรเลียโดยเป็นการทำงานในส่วนของการหาของใช้หรือวัสดุต่างๆมาใช้ในร้านนวด ส่วนระยะเวลาที่เหลือที่ไม่ได้ทำงานก็นับเป็น Paid Annual Leave...ซึ่งการทำงานดังกล่าว AAT ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่สามารถนับเป็นช่วงเวลาทำงานในขณะที่อยู่นอกประเทศได้ (overseas work related trip) เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ JD ของอาชีพ Massage Therapist ที่ทาง ANZSCO ได้กำหนดไว้นั่นเอง
  • จากข้อมูลข้างต้น เมื่อคุณ X อยู่นอกประเทศออสเตรเลีย และไม่สามารถนำช่วงเวลา overseas work related trip ทั้งหมด 51 วันมานับรวมเป็นเวลาการทำงานในตำแหน่งของ Massage Therapist ได้ ก็เท่ากับว่าระยะเวลาการทำงานภายใต้ตำแหน่ง Massage Therapist ของคุณ X จะหายไป 51 วันด้วยกัน แต่ยังโชคดีที่ระยะเวลาการทำงานทั้งหมดของคุณ X สามารถนับรวมได้เป็นเวลา 2 ปี 4 เดือน 3 สัปดาห์ กับอีก 5 วัน ต่อให้หักช่วงเวลาของ overseas work related trip ทั้ง 51 วันออกไป ก็ยังถือว่าทำงานมาเป็นเวลามากกว่า 2 ปีตามที่กำหนดไว้อยู่ดี...อันนี้ก็ถือว่ารอดไปครับ ไม่งั้นอาจจะโดนอีกกระทงก็ได้!!!
  • ไม่เพียงเท่านั้น AAT ยังดูไปถึงเรื่องการเงินของร้านนวด A อีกด้วย เพราะทาง AAT มีความกังวลกับธุรกิจที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกำไร...ยังดีที่ทั้งคุณ X และคุณ Y สามารถอธิบายให้ AAT เข้าใจถึงเหตุผลของการที่ร้านนวด A ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้
  • ประเด็นสุดท้าย คือในเรื่องสัญญาเช่าร้านที่ทางคุณ X ได้แนบเอกสารไป ได้มีการระบุไว้ว่าสัญญาเช่าจะหมดลงในเดือนตุลาคม 2019 และไม่สามารถต่อสัญญาเช่าได้...ซึ่งปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้โดยการคุยกับ landlord และ real estate agent ว่า คุณ X และคุณ Y มีความประสงค์ที่จะต่อสัญญาร้านออกไป พร้อมกับการ renovation ร้านอีกด้วย ทำให้ทาง landlord และ real estate agent ออกสัญญาเช่าฉบับใหม่ให้
ทั้งหมดก็เป็นบาดแผลต่างๆ ที่คุณ X คุณ Y ได้รับมาจากการยื่น nomination ขอ PR เข้าไปกับเอเจนท์อื่น จนโดนปฏิเสธกลับมา...หลังจากนั้น คุณ X และคุณ Y ก็ได้ติดต่อเข้ามาหาทาง CPSydney office ให้ช่วยทำเรื่องอุทธรณ์ หรือ AAT ให้ พอเราดูเคสแล้วเห็นถึงความเป็นไปได้ เราก็ได้แนะนำคุณ X และคุณ Y ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเรา พร้อมกับ submission คำแก้ต่างที่ทางเราได้ช่วยเขียนให้ทาง AAT พิจารณา
  • ลงรายละเอียดการทำงานในแต่ละวันของคุณ X และคุณ Y ไปเลยว่า ในหนึ่งวันทำอะไรกันบ้างทั้งคุณ X ในฐานะ Massage Therapist และคุณ Y ในฐานะ Business Owner
  • รวมถึงเรียกให้คุณ X และคุณ Y เข้ามาติวเข้ม ก่อนที่จะไปทำการ hearing กับ AAT ในวันที่ 27 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา
จนในที่สุด จากการสัมภาษณ์ปากเปล่า และเอกสารที่เราช่วยคุณ X และคุณ Y เตรียม เพื่อแนบเข้าไปประกอบคำแก้ต่าง ก็ทำให้ AAT เชื่อว่าคุณ X ได้ทำงานเป็น Massage Therapist จริงๆ ถึงแม้จะมีรายละเอียดเนื้องานอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็สามารถเป็นที่เข้าใจและยอมรับได้จาก nature of business...นำมาซึ่งผลสรุปที่ AAT ได้ APPROVE nomination การขอ PR ของคุณ X และตีผลพิจารณากลับไปให้ทางอิมมิเกรชั่นพิจารณาวีซ่าของคุณ X ใหม่อีกครั้งในวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา

จะเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้อิมฯ เข้มงวดขึ้นเยอะมากนะครับ สำหรับ TRT stream subclass 186 ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของระยะเวลาทำงานที่ต้องครบ 2 ปี (นับเวลาทำงาน 38 ชั่วโมง/สัปดาห์), scope ของการทำงานที่ต้องตรงกับที่ ANZSCO ได้กำหนดไว้, เงินค่าแรงขั้นต่ำที่ต้องไม่ต่ำกว่า A$55,000/year + 9.5% superannuation, ผลประกอบการของบริษัท หรือองค์กรที่สปอนเซอร์, สัญญาเช่า หรือที่ตั้งของบริษัท หรือร้านค้า, รูปแบบ หรือลักษณะของธุรกิจ, training benchmark หรือ SAF ที่นายจ้างต้องชำระให้กับหน่วยงานทางภาครัฐตามกำหนด ฯลฯ...เพราะฉะนั้นจะสักแต่ว่ายื่นเข้าไปไม่ได้ละนะครับ ควรจะตรวจสอบให้ชัวร์ว่าเรา meet ทุก requirement ของเขาแล้วจะดีที่สุด

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มติมเกี่ยวกับการเรียนต่อในหลักสูตรต่างๆในออสเตรเลีย รวมถึงวีซ่าทำงานหรือวีซ่าทักษะต่างๆ และวีซ่าครอบครัวต่างๆ...ติดต่อมาที่ CPSydney office ได้เลยที่ (+61) 2 9267 8522 หรือ LINE ID: cpsydney2 หรือจะทักมาที่ www.facebook.com/cpsyd ก็ได้นะครับ!!! สำหรับฉบับนี้น้าหนวดต้องขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้า
#ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด
วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน ไว้ใจเรา CP Sydney...วีซ่านักเรียน วีซ่าคู่ครอง วึซ่าทำงาน แปลเอกสารก็มีนะจ๊ะ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ได้รับคำแนะนำผิด ชีวิตเปลี่ยน นะจ๊ะ!!!

VisaTalk by CPSydney กลับมาอีกแล้วจร้าาา...ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนสิงหาคม หรือเดือนที่ 8 ของทุกๆปี นี่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าเผลอแป๊บเดียว อีกแค่ 4 เดือน ปี 2018 ก็จะจากเราไปแล้ว เพราะฉะนั้นใครมีเป้าหมายอะไรที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำภายในปีนี้ก็รีบๆเข้านะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าน้าหนวดไม่เตือนเด้อออ

มาเข้าเรื่องของเรากันในฉบับประจำเดือนสิงหาคมกันเลยดีกว่า โดยในวันนี้น้าหนวดจะนำกรณีศึกษาของการได้รับคำแนะนำแบบผิดๆ หรือการเข้าใจผิดของตัวหลานๆทั้งหลายเกี่ยวกับการทำวีซ่า มาเล่าให้ฟังกันในฉบับนี้นะครับ

กรณีศึกษาที่ 1 (วีซ่านักเรียน และ วีซ่าติดตามนักเรียน)

สำหรับกรณีศึกษาแรกที่เข้ามาปรึกษากับทาง Migration agent ประจำ Sydney office ก็จะเป็นเรื่องของครอบครัวของพี่เอครับ คือว่า พี่เอได้เข้ามาปรึกษากับ migration agent ของเราเพราะถูกทาง (Administrative Appeals Tribunal: AAT) ยืนยันคำตัดสินมาว่า "พี่เอ ถูกยกเลิก วีซ่านักเรียนของตัวเอง" เหตุการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลประการใดหน่ะหรือ ก็เอาแบบง่ายๆเลยนะครับ การถูกยกเลิกวีซ่านักเรียน จะสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่นักเรียนได้ทำผิดกฎหรือเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งของวีซ่านักเรียน อาทิเช่น ทำงานเกินจำนวนชั่วโมงที่อิมฯกำหนดมาให้, เปลี่ยนระดับหลักสูตรการเรียนต่ำลงจากวีซ่านักเรียนที่ได้รับมา แล้วไม่เปลี่ยนวีซ่าให้ถูกต้องตามหลักสูตรใหม่, รวมถึงการไม่ยอมไปเรียนหนังสือ ฯลฯ

ซึ่งในกรณีของพี่เอที่โดนยกเลิกวีซ่านักเรียน (CANCELLATION) ไปก็เพราะว่า พี่แกไม่ได้ไปเรียนหนังสือเลยเป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมถึงไม่มีการตอบสนองใดๆกับทางสถาบันเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่พี่เอได้ยื่นวีซ่าติดตามนักเรียนกับภรรยาของพี่เอเข้าไปและกำลังรอผลของวีซ่าอยู่ ทำไมพี่เอถึงทำตัวไม่น่ารักแบบนี้หน่ะหรอ??? เหตุของการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นได้เพราะอะไร พี่เอได้เล่าให้เราฟังว่า "หลังจากที่พี่ได้ให้เอเจนท์เก่าของพี่ ยื่นวีซ่าติดตามนักเรียนกับภรรยาเข้าไปแล้วนั้น ทางเอเจนท์นั้นก็ได้บอกกับพี่เอว่า ระหว่างที่รอผลนี้ พี่เอไม่ต้องไปเรียนแล้วได้เลยนะคะ" นั่นแหล่ะค่ะ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็อย่างที่เห็นและได้ทราบโดยทั่วกัน โดนยกเลิกเรียบร้อยโรงเรียนอิมมิเกรชั่นไปตามระเบียบ เพราะความผิดกระทงนี้ได้เทียบเท่ากับการทำผิดเงื่อนไข 8202 นั่นเอง (ดูรูปประกอบได้ด้านล่างเลยนะจ๊ะ)
จากรูปจะเห็นได้ว่า เงื่อนไขของเจ้าตัว 8202 นั้นประกอบด้วยกัน 2 ส่วน คือ ในเรื่องของการเรียนให้ตรงหรือสูงกว่าในระดับที่ได้รับวีซ่านักเรียนมาตาม CoE ที่ยื่นไป อีกส่วนก็ที่ตีกรอบสีแดงให้ดูที่พี่เอทำผิดเงื่อนไขนั่นแหล่ะ

เท่านั้นยังไม่พอครับ แทนที่เอเจนท์เจ้ากรรมจะแนะนำให้พี่เอ withdraw หรือถอนวีซ่าติดตามนักเรียนที่ยื่นตามภรรยาหลังจากที่พี่เอโดนยกเลิกวีซ่านักเรียน แต่แกดันปล่อยให้พี่เอเพิกเฉยกับวีซ่าตัวที่ยื่นเข้าไปตามภรรยาซะอย่างนั้น จนสุดท้ายก็โดนปฏิเสธวีซ่าติดตามภรรยามาอีก (REFUSAL) ทำไมพี่เอถึงควรจะถอนวีซ่าติดตามภรรยาที่ยื่นเข้าไปหน่ะหรอ??? ก็เพราะว่าหลังจากที่พี่เอโดนยกเลิกวีซ่านักเรียนของตัวเองไปแล้วนั้น พี่เอได้มีความผิดขึ้นมาอีก 1 กระทงทันทีด้วยเหตุผลนี้ครับ เงื่อนไข 4103 คือ ภายหลังที่โดนยกเลิกวีซ่า เราจะไม่มีสิทธิ์ยื่น temporary visa ใดๆได้เลย ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าทำงาน วีซ่าท่องเที่ยว หรือแม้แต่วีซ่านักเรียนเป็นเวลา 3 ปีด้วยกัน หรือเอาแบบง่ายๆก็ที่เข้าใจกันว่า "โดนแบน 3 ปี" ก็คือเงื่อนไขนี้นั่นแหล่ะ

สาวให้ลึกลงไปอีก ก็ได้พบเจออีก 1 คำแนะนำแบบผิดๆที่เอเจนท์นั้นได้มอบให้แก่พี่เอ...หลังจากที่ทั้งโดนยกเลิก และปฏิเสธวีซ่ามาแล้ว เอเจนท์เจ้าเดิมก็ดันแนะนำให้พี่เอยื่นอุทธรณ์ (AAT) วีซ่าติดตามนักเรียนที่โดนปฏิเสธเพียงอย่างเดียว ทั้งๆที่พี่เอสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทั้งวีซ่าที่ถูกยกเลิกไปและวีซ่าติดตามนักเรียนที่ถูกปฏิเสธมา คือถ้าจะมองว่าเปลืองเงินเลือกอุทธรณ์อันเดียวก็พอ ก็ควรจะยื่นอุทธรณ์ในส่วนของวีซ่านักเรียนของพี่เอที่ถูกยกเลิก ไม่ใช่มาอุทธรณ์ในส่วนที่ถูกปฏิเสธมาจากผลพวงที่โดนแบน 3 ปึจากการผิดเงื่อน 4103 เพราะฉะนั้นถ้าจะเลือกอุทธรณ์อันเดียวก็ควรจะมุ่งไปที่ต้นเหตุ ไม่ใช่มาแก้ตรงปลายเหตุครับ...กล่าวโดยสรุปสำหรับกรณีศึกษาของพี่เอนะครับ คือ ถ้าพี่เอได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องตั้งแต่ในเรื่องควรจะยังไปเรียนหนังสืออยู่ตามเดิมในขณะที่รอวีซ่าติดตามนักเรียนกับภรรยาที่ยื่นเข้าไปตามเงื่อนไข 8202 รวมถึงผลลัพธ์ของการถูกยกเลิกวีซ่า และการเลือกอุทธรณ์ให้ถูกต้อง พี่เอก็อาจจะไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงขนาดนี้ ก็ เป็น ด้ายยยย

ทั้งนี้ หากว่าใครใคร่สงสัยว่าตัวเองทำผิดเงื่อนไขวีซ่านักเรียนในข้อใดอีกบ้าง (นอกจากการทำงานเกิน) ก็สามารถดูได้ในวีซ่านักเรียนของตัวเอง เพราะโดยปกติอิมมิเกรชั่นจะแนบ conditions ต่างๆมาไว้ให้ในวีซ่านักเรียนของทุกคนด้วยอยู่แล้ว หรือถ้าใครหาไม่เจอจริงๆ ก็สามารถคลิกที่ลิงค์ที่น้าหนวดแปะไว้ให้ได้เลยนะครับ https://www.homeaffairs.gov.au/trav/stud/more/visa-conditions/visa-conditions-students 

กรณีศึกษาที่ 2 (ยื่น Partner Visa ด้วยตัวเอง แล้วจะเอาลูกมาติดตามในภายหลัง)

ข้ามมาที่กรณีศึกษาที่ 2 ที่ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากทาง CPSydney office ของเราไปนั้น ก็จะเป็นเรื่องของพี่บีกันบ้าง คือ พี่บีได้ยื่น Partner Visa application เข้าไปด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นปี 2017 ที่ผ่านมา โดยได้ระบุในพาร์ทนึงของ application ให้ทางอิมฯทราบว่า พี่บีไม่มีความประสงค์ที่จะเอาลูกมาติดตามในอนาคต แต่ในเป้าประสงค์ที่แท้ทรูของพี่บี คือ แกก็ตั้งใจจะเอาลูกมาติดตามในภายหลังนั่นแหล่ะ เพียงแต่ด้วยความที่กรณีศึกษาของพี่บีนั้นมีความสับสนเล็กน้อยถึงปานกลาง ทำให้พี่บีกรอกเอกสารผิด และทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่าพี่บีจะไม่เอาลูกมาติดตามเลย ไม่ว่าจะเป็นทั้งในตอนนี้หรืออนาคตก็แล้วแต่ เจ้าหน้าที่จึงออกเอกสารให้พี่บีเซ็นรับรองว่าจะไม่ให้ลูกไปตรวจสุขภาพ รวมถึงไม่อนุญาตให้นำลูกมาติดตามในอนาคต!!! เดชะบุญในความใคร่รู้ใครสงสัยของพี่บี แกเลยโทรเข้ามาสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ประจำ CPSydney office ของเราก่อนที่จะตอบอะไรกับอิมฯกลับไป จนแกได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่คนเก่งของเรา ทำให้พี่บีตัดสินใจแต่งตั้งให้เราเป็นเอเจนท์ตัวแทนติดต่อกับทางอิมฯแทนพี่เขา ซึ่งทางเราก็ได้ทำการเขียน submission แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบถึงความเป็นมาและเป็นไป...จนในที่สุดอิมฯก็เปลี่ยนใจอนุญาตให้ลูกของพี่บีไปตรวจสุขภาพเป็นที่เรียบร้อย และเตรียมตัวทำเรื่องวีซ่าติดตามพี่บีมาอยู่ที่ออสเตรเลียอยู่ใน ณ ตอนนี้นั่นเอง

จริงอยู่ครับว่า หลายๆคนอาจจะมองว่ากรอกวีซ่าจะไปมีอะไรยาก จะยากก็แค่มันเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นเอง แต่รู้หรือไม่ว่า ลูกค้าชาวออสเตรเลีย ฝรั่งอั้งม้อหัวทองของเราหลายคนก็ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ของเราเองว่า ชั้นยอมแพ้กับการกรอกวีซ่าคู่ครองแล้ว บางพาร์ทมันวุ่นวายและซ้ำซ้อนเหลือเกิน ชั้นให้เธอดูแลเคสให้ดีกว่า...นี่แค่เป็นเคสตัวอย่างกรณีศึกษาที่ยังมาให้เราแก้ไขได้ทันเวลานะครับ มีอีกหลายเคสมากมายที่เข้าใจผิด และซับซ้อนวุ่นวายกว่านี้เยอะ ไว้คราวหลังถ้ามีโอกาสน้าหนวดจะหยิบมาเล่าให้ฟังในภายหลังอีกทีนึงนะครับ

สำหรับฉบับนี้ น้าหนวดต้องขอลาไปก่อน เดี๋ยวยังไงเอาไว้เจอกันใหม่ฉบับหน้านะจ๊ะ...สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มติมเกี่ยวกับการเรียนต่อในหลักสูตรต่างๆในออสเตรเลีย รวมถึงวีซ่าทำงานหรือวีซ่าทักษะต่างๆ และวีซ่าครอบครัวต่างๆ...ติดต่อเราได้เลยครับที่เบอร์ (+61) 2 9267 8522 หรือ LINE ID: cpsydney2 หรือจะทักมาที่ www.facebook.com/cpsyd ก็ได้นะ

วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน ไว้ใจเรา CP Sydney...วีซ่านักเรียน วีซ่าคู่ครอง วึซ่าทำงาน แปลเอกสารก็มีนะจ๊ะ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้

#ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด