วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

MyFutureMyCP: Torrens University Australia (TUA)

MyFutureMyCP ประจำปี 2018 นี่ก็ผ่านมาหลายฉบับแล้วเหมือนกันนะ เราก็ได้เขียนถึงทั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนที่สอนในระดับวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรทางด้านธุรกิจ การเลี้ยงเด็ก หรือแม้แต่พวกหลักสูตรการแสดง แต่มีสถาบันอยู่กลุ่มนึงที่น้าหนวดยังไม่เคยได้มีโอกาสเขียนให้ทุกๆคนได้อ่านกันเลยก็คือ "มหาวิทยาลัย" ซึ่งก็เหมือนดวงประจวบเหมาะ บุญพาวาสนาส่งตามคิวที่ได้แพลนไว้พอดี เพราะใน MyFutureMyCP 2018/7 ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้ น้าหนวดจะมาเล่าให้ฟังถึงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในออสเตรเลียให้น้องๆเพื่อนๆได้รู้จักกันดู เผื่อใครหลายๆคนกำลังพิจารณาเรื่องเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโทจะได้ลองพิจารณามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไว้ในอ้อมใจกันดูครับ

เอานะ เริ่มกันเลยละกันนน...เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังไม่คุ้นหูกับ "Torrens University Australia (TUA)" กันอย่างแน่นอน คืออันที่จริงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไม่ได้ถึงกับเพิ่งเปิดใหม่ Grand Opening กันแต่อย่างใดนะ เอาเข้าจริงก็มีอายุอานามประมาณ 20 ขวบปีกว่าๆ เห็นจะได้ละมั้งครับ แต่ก็ถือว่ายังจัดอยู่ในกลุ่มมหา'ลัยน้องเล็ก (Young University) หรือมหาวิทยาลัยที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี (อันนี้เป็นคำนิยามที่ใช้กันทั่วโลกในวงการการศึกษาเลยนะครับ น้าหนวดไม่ได้สถาปนาตั้งนิยามเองแต่อย่างใดนะจ๊ะ) มาว่ากันต่อในเรื่องของการเป็นน้องเล็ก หรือการที่มียังมีอายุไม่ถึง 50 ปีของมหาวิทยาลัย หลายๆคนอาจจะมองว่าเพิ่งเปิดมาไม่นานแล้วจะได้คุณภาพร่อออ เรื่องนี้หายห่วงได้เลยครับ เพราะมันจะเข้าทำนองที่ว่า "ผมไม่เล็ก" นะครับอย่างแน่นอน555 อย่างน้อย TUA ก็ได้รับการรับรองจากรัฐบาลออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน และยังได้รับความนิยมในการเข้าศึกษาต่อเป็นอย่างมากในเมือง Adelaide อีกด้วย ซึ่งเอากันจริงๆในเรื่องของความเก่าแก่เนี่ยะ มหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งในออสเตรเลียหรือแม้แต่ในซิดนีย์ก็ยังมีอายุไม่ถึง 50 ปีเหมือนกันนะ ถ้าเอ่ยชื่อมาอาจจะมีช็อคกันได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลมากกันเรื่องอายุ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของตัวเลขไป

ถึงแม้ว่า Torrens University Australia อาจจะยังไม่ได้เด่น ไม่ได้ดังหรือปังอะไรเบอร์นั้น รวมถึงอาจจะยังไม่ได้เก่าแก่เหมือนที่ใครหลายๆคนต้องการ แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีจุดเด่นเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองอยู่นะ จุดเด่นที่ว่าก็คือความเป็น Global Connections ของทางมหาวิทยาลัยนั่นเองครับ เพราะ Torrens University Australia นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ Laureate International Universities ที่มีสถาบันทางการศึกษาในด้านต่างๆมากกว่า 70 แห่งทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ รวมทั้งในเอเชียอย่างประเทศจีนและมาเลเซียก็มีนะครับ และที่ต้องร้อง อู้ววว ว้าววว อะเมซซิ่ง ก็คือในประเทศไทยดินแดนขวานทองของเราก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ทาง Laureate International Universities ได้ไปเปิดสถาบันไว้เหมือนกัน ซึ่งสถาบันที่ว่านั้นก็คือ Stamford International University นั่นเอง เพราะฉะนั้นก็มั่นใจในเรื่องของคุณภาพได้อย่างแน่นอนครับ ถ้าไม่เจ๋งจริงเขาคงไม่สามารถไปเปิดสถาบันหรือมหาวิทยาลัยต่างๆได้ทั่วโลกอย่างนี้หรอก ซึ่งนั่นก็ทำให้มหาวิทยาลัยมีภาพจำหรือจุดแข็งที่ชัดเจนมากๆในเรื่องของ "GLOBAL OPPORTUNITIES AND GLOBAL CONNECTIONS" ซี่งนับได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับการทำธุรกิจในปัจจุบัน

นอกจากนี้ อีกจุดแข็งของมหาวิทยาลัยก็คือ การนำความรู้ไปใช้ได้จริงให้สัมฤทธิ์ผลหลังจากที่สำเร็จการศึกษาไป ทำให้ทุกหลักสูตรของมหา'ลัยจึงเน้นไปที่การเพิ่มทักษะต่างๆในการทำงาน และการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ซึ่งจำนวนนักเรียนต่อหนึ่งคลาสก็จะจัดให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน...และจากที่ได้บอกไปว่าหลักสูตรของมหา'ลัยจะเน้นไปที่การนำไปใช้ได้จริง ทำให้เกือบแทบจะทุกหลักสูตรของ Torrens University Australia จะต้องมี Industry Placement Program (IPP) เป็นเหมือนวิชาบังคับที่นักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการประเมินจึงจะสำเร็จการศึกษาจากทางมหาวิทยาลัยไปได้ ตัวอย่างเช่น น้องๆจะสำเร็จการศึกษาในหลักสูตร Bachelor of Business ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการประเมินของ IPP ซึ่งมีเวลาของการฝึกงานทั้งหมด 400 ชั่วโมงด้วยกัน...อีกข้อดีที่เป็นมากกว่าประสบการณ์จากการฝึกงาน หรือ Industry Placement Program (IPP) ก็คือ น้องๆจะได้ connections จากที่ฝึกงาน จนอาจจะนำไปสู่การจ้างงานในอนาคตได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าน้องๆคนไหนกำลังมองหามหาวิทยาลัยสำหรับการเรียนต่อในระดับปริญญาไม่ว่าจะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทอยู่แล้วหล่ะก็ น้าหนวดอยากจะให้ลองพิจารณา Torrens University Australia ไว้ในอ้อมใจกันดูบ้าง เพราะนอกจากข้อดีหรือจุดแข็งที่เล่าให้ฟังไปทั้งหมดใน MyFutureMyCP 2018/7 ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้ เรื่องค่าสินสอดทองหมั้นหรือค่าเทอมก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดนะ ยิ่งตอนนี้เขาก็มีทุนการศึกษามากมายมอบให้กับน้องๆที่สนใจจะเรียนกับทางมหาวิทยาลัยภายในปี 2018 นี้อีกด้วย โดยเทอมสุดท้ายของ Torrens University Australia ก็จะเริ่มเรียนในวันที่ 12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้แล้วนะครับ ถ้ารวมช่วง late enrolment เข้าไปด้วยก็เต็มที่คือต้องเริ่มเรียนภายในเดือนพฤศจิกายนนั่นแหล่ะ ส่วนจะมีทุนการศึกษาในหลักสูตรไหนบ้างก็สามารถดูได้ตามภาพประกอบด้านล่างเลยนะครับ ถ้าสนใจในหลักสูตรไหนก็สามารถติดต่อเข้ามาที่ CPSydney office ให้เพื่อนร่วมงานของน้าหนวดจัดการสมัครเรียนให้ได้เลยนะครับ


















บอกได้เลยว่ามีทุนการศึกษามากมายให้คุณได้เลือกสรรกันจริงๆ ยังไงก็ติดต่อสอบถามกันมาได้นะครับที่ +61 2 9267 8522 หรือถ้าใครเป็นสายแชทก็สามารถส่งข้อความกริ๊งกร๊างมาหากันได้เลยที่ Facebook Page ของ CPSydney office ที่ https://www.facebook.com/cpsyd/ อ่อ อย่าลืมกดไลค์เพจ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการติดตามข่าวสารดีๆจากเราด้วยนะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney


#น้าหนวด


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้


วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แต่งงานกันมาเป็น สิบสิบ ปี ยังถูกปฏิเสธ partner visa ได้เลยครับ #เตือนแล้วนะ

ตกใจกับหัวข้อของเราในฉบับนี้ใช่ไหมครับว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงที่เคสแบบนี้จะถูกปฏิเสธ แต่งงานกันมาเป็น สิบสิบ ปีแล้วเชียวนะ...แต่ ปฏิเสธได้ เราก็สามารถช่วยแก้ไขจนทำให้ได้วีซ่ากลับมาเหมือนกันครับ

เดี๋ยวมาดูกันเลยว่าเคสนี้มีความเป็นมาอย่างไร และได้รับการแก้ไขอย่างไรจาก Migration agent ประจำ CPSydney office ถึงทำให้ได้รับการกลับคำตัดสิน และได้ PR มาครอบครองในที่สุด...บอกได้เลยว่า โชกโชนกันมาพอสมควรครับ โดยเคสตัวอย่างนี้เป็นกรณีศึกษาจากลูกค้าครอบครัวชาวจีนของ CPSydney office เราเองนี่แหล่ะ แต่อย่าได้เข้าใจผิดว่าเราทำเคสเขาพังแต่แรกนะครับ เพราะ Migration agent ของเราได้รับผิดชอบแค่ในส่วนที่ทำเรื่องอุทธรณ์ขอให้ AAT กลับคำตัดสิน และช่วยทำให้ได้ PR กลับมาเท่านั้นนะครับ ก่อนหน้านี้ครอบครัวชาวจีนครอบครัวนี้ได้ถูกปฏิเสธวีซ่ามาจากที่อื่น

TIME FRAME ความเป็นมาก่อนที่เคสจะตกมาถึงที่ CPSydney office ของเรา
  • พฤศจิกายน 2010 คุณภรรยา (รวมลูกสาวคนโต) ได้ยื่นวีซ่าติดตามคุณสามีเข้าไป ภายใต้วีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ subclass 457
  • กรกฎาคม 2011 เอเจนท์เจ้ากรรมดันไปแนะนำให้คุณภรรยาถอน (withdraw) วีซ่าติดตาม 457 ที่ยื่นเข้าไปซะอย่างงั้น (อันนี้ทั้งคุณสามีและภรรยาก็จำไม่ได้ว่าเขาให้เหตุผลว่าอะไร) แล้วได้ยื่นวีซ่าติดตามคุณสามีอีกตัวเข้าไปให้แทน subclass 857 (ปัจจุบันนี้ไม่มีวีซ่าตัวแล้วนะครับ ไม่ต้องไปหาให้เสียเวลา555)
  • กุมภาพันธ์ 2012 วีซ่าติดตามคุณสามี subclass 857 ของคุณภรรยาถูกปฏิเสธ (refuse) แต่คุณสามีที่เป็น main applicant ได้วีซ่าผ่านเป็น PR ตามปกตินะครับ
  • พฤศจิกายน 2013 Migration Review Tribunal (MRT) หรือ AAT ในปัจจุบัน ยืนยันคำตัดสินที่อิมฯปฏิเสธวีซ่าติดตามสามี subclass 857 ของคุณภรรยา
  • พฤศจิกายน 2013 หลังจากที่คุณสามีได้ PR เป็นที่เรียบร้อย...ตัดภาพมาที่คุณภรรยาที่ถูกปฏิเสธแล้วปฏิเสธ เอเจนท์เจ้าเดิมก็ได้ยื่น Partner Visa subclass 820/801 ให้กับตัวคุณภรรยาพร้อมลูกสาวคนโตเข้าไปในช่วงปลายเดือนโดยมีตัวคุณสามีที่เพิ่งได้ PR เป็น sponsor
  • ตุลาคม 2016 เรียบร้อยโรงเรียนอิมมิเกรชั่นอีกรอบไปตามระเบียบ ถูกปฏิเสธ Partner Visa ด้วยเหตุผลสุด classic ที่อิมฯไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ที่มีลูกมาด้วยกันแล้ว 1 คนเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นความจริง โดยก่อนที่จะปฏิเสธเป็นผลลัพธ์สุดท้ายออกมา อิมฯได้มีการขอเอกสารเพิ่มเติม และสัมภาษณ์เพิ่มเติมเพื่อประกอบคำตัดสินของวีซ่าอีกด้วย
ตอนที่เคสตกมาถึงของ Migration agent ประจำ CPSydney office ของเรา ก็เล่นเอา Migration agent ของเราเสียหลักไปเหมือนกันนะ เพราะจากที่ฟังเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า "ถูกปฏิเสธมาได้อย่างไร" เชื่อหรือไม่ว่าที่อิมมิเกรชั่นปฏิเสธมาเนี่ยะ มันคือความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2002 และมีลูกด้วยกันถึง 2 คนอีกด้วย โดยลูกคนโตยังมีสถานะเป็น Temporary Residence (TR) เหมือนคุณแม่ (ภรรยา) เพราะว่านับเป็นผู้ติดตามพ่วงไปในใบสมัคร PR ของคุณพ่อ (สามี) ในตอนที่ได้ยื่นวีซ่า subclass 857 และ subclass 820/801 ที่ได้รับผลการปฏิเสธมาทั้งคู่...ส่วนสำหรับลูกคนเล็กที่เพิ่งเกิดในปี 2016 หลังจากที่ยื่น partner visa เข้าไปในปี 2013 ก็รอดตัวไป เพราะถือว่าได้สัญชาติ หรือเป็นคนออสเตรเลียโดยกำเนิดตามคุณพ่อที่ได้รับ PR ไปก่อนหน้านี้แล้ว

อนึ่ง สำหรับเคสนี้เป็นการบอก หรือเป็นอุทธาหรณ์สอนหญิงได้อย่างชัดเจนในเรื่องของการเตรียมเอกสารว่า "เราควรจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม" ต้องคิดเสมอว่าอิมมิเกรชั่นคือคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัว อย่าไปทึกทักเองหรือออกลูกประมาทว่า "ส่งๆเข้าไปก่อน เดี๋ยวมีอะไรเขาก็ขอเพิ่มเติมเอง" จริงอยู่ที่เคสนี้อิมฯก็ขอเอกสารเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ถ้าเราทำทุกอย่างให้พร้อม หรือปิดประตูแพ้แต่แรก มันก็น่าจะดีกว่าจริงไหมครับ พยายามทำให้มันปลอดภัยไว้ก่อน อย่าทำแบบ สุกเอาเผากิน แล้วพอมีปัญหามันก็อาจจะสายเกินแก้ เข้าข่าย "วัวหายล้อมคอก" แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ

อีกประการหนึ่งก็พูดได้เลยว่า เอเจนท์ที่ทำเรื่องให้สามีภรรยาคู่นี้ก็ออกลูกประมาท ชะล่าใจไปหน่อยเหมือนกัน...ทั้งๆที่ก็เป็นคนยื่นวีซ่าให้กับครอบครัวนี้จนถูกปฏิเสธมาทั้ง 2 วีซ่า ก็ควรจะรู้ว่า เอกสารทุกอย่างจะต้องพร้อมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวนี้ที่โดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็จะยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวด ไม่ใช่มองว่าเป็นการยื่นวีซ่าคนละประเภทเพียงอย่างเดียว แล้วแนบแค่เอกสารพื้นฐานเบื้องต้นเพราะเชื่อในความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ว่าเป็นความจริง ที่น้าพูดแบบนี้ก็เพราะหลังจากที่ Migration agent ที่ออฟฟิศได้สอบถามเคสเพิ่มเติมกับตัวคุณสามีและภรรยา ก็สืบทราบเพิ่มเติมมาได้ว่า เอเจนท์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้ขอเอกสารอะไรเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการยื่น partner visa เลย และแนบเอกสารประกอบเข้าไปแค่เพียง 5 ไฟล์เท่านั้นสำหรับการทำ partner visa ได้แก่

  1. ทะเบียนสมรสของทั้งคู่
  2. ใบเกิดของลูกคนโต
  3. เอกสารระบุที่อยู่ของทั้งคู่ โดยที่แนบไปตอนแรกมีเอกสารที่ระบุว่าอยู่ที่อยู่เดียวกันถึงแค่ปี 2011 และเป็นแค่เพียงสัญญาเช่าบ้านเท่านั้น ประเด็นนี้ที่น่าสนใจ คือ ควรจะมีจดหมายอื่นๆด้วย การมีสัญญาบ้านร่วมกัน ไม่ได้แปลว่าอยู่ด้วยกันจริงๆ ใช่หรือไม่
  4. บัตรประกันสุขภาพ
  5. จดหมายรับรองความสัมพันธ์จากพยาน 2 ท่าน สำหรับการทำ partner visa
คือนึกกันออกใช่ป่ะว่าสามีภรรยาคู่นี้ เขามีความสัมพันธ์กันมาเป็น 10 ปีแล้ว เอกสารมันควรจะมีมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่เคยโดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง...เอเจนท์ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน ส่งเอกสารประกอบเข้าไปเพียงแค่นี้ นี่ที่จริงแล้วเคสนี้ยังต้องถือว่า อิมฯใจดีแล้วด้วยซ้ำนะครับ ถึงได้ขอเอกสารเพิ่ม และมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ที่เคี่ยวๆ วีซ่าอาจจะปลิวไปแต่แรกโดยที่ไม่ขอเอกสารหรือข้อมูลมาประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมแล้วก็ได้ โดยเอกสารที่ทางเอเจนท์เดิมได้แนบเข้าไปเพิ่มเติมก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายเลย มีเพิ่มแค่อีก 4 อย่างเท่านั้นเอง ได้แก่
  1. ใบเกิดของลูกคนที่ 2
  2. บัญชีคู่ (Joint Bank Account) ที่ทั้งคู่เพิ่งไปเปิดตอนเดือนพฤษภาคม 2016 ประเด็นนี้ก็อีก คือ เอเจนท์ควรจะแนะนำให้ไปเปิดบัญชีคู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว ถึงแม้ทางสามีภรรยาคู่นี้จะให้เหตุผลว่าสามารถเข้าถึงบัญชีหลักที่เป็นชื่อคนเดียวได้ตลอด แต่การเปิดบัญชีคู่ไม่ว่าจะมีเงินในบัญชีจำนวนมากหรือน้อย สำหรับอิมมิเกรชั่นแล้วมันคือ Financial Commitment ของคน 2 คนที่มีร่วมกันครับ
  3. เอกสารระบุที่อยู่เพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน
  4. จดหมายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ (Joint Relationship Statement)
แต่อย่างที่ทราบผลลัพธ์กันอยู่แล้ว ในที่สุดคุณภรรยาก็ถูกปฏิเสธวีซ่ามาในวันที่ 19 ตุลาคม 2016 ด้วยเหตุผลที่อิมฯไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นความจริง ตามที่ได้บอกไปนั่นแหล่ะ โดยบรรทัดฐานที่อิมฯเขานำมาประกอบการพิจารณาหลักๆก็จะมี 4 ข้อด้วยกัน (อันนี้ย้ำว่า ข้อหลัก นะครับ มันยังต้องมีปัจจัยอื่นๆอีกด้วย)
  • Financial Aspects
  • Nature of Household
  • Social Aspects
  • Nature of the Person's Commitment to each other
หมายเหตุ Migration agent ของ CPSydney office ได้สอบถามเพิ่มเติมจากสามีภรรยาโดยตรง และตัวน้าหนวดเองก็ได้อ่าน Decision Record ที่ปฏิเสธ partner visa มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยสามารถนำข้อมูลมาเขียนให้ได้อ่านเป็นกรณีศึกษากันนะจ๊ะ แต่เราไม่สามารถเปิดเผยชื่อ หรือให้ดูเอกสาร Decision Record ทั้งหมดได้เนอะ แต่เดี๋ยวจะแนบใบปะหน้าที่ผ่าน AAT และได้รับการกลับคำตัดสินให้ดู รับประกันได้ว่า "ของจริง ไม่ได้เป็นเอกสารปลอมแน่นอน คริคริ"

หลังจากที่คุณภรรยา และลูกคนโตได้ถูกปฏิเสธวีซ่า...ทางตัวคุณสามีและภรรยาเองก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้ติดต่อและลองปรึกษากับ Justine (Migration agent ประจำ CPSydney office) ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยและฟังแนวทางแก้ไขจาก Justine ไป ทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจให้  CPSydney office เป็นคนดูแลเคสในส่วนของการอุทธรณ์กับ AAT และได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์เข้าไปในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งสิ่งที่เราได้ทำเป็นหลักๆเลยก็คือ การเขียน submission อธิบายแก้ต่างในประเด็นต่างๆที่อิมฯได้แย้งมา รวมถึงการเขียนอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่โดยละเอียด และร่าง timeline ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มเข้าไปให้ทางเจ้าหน้าที่ AAT ดู และแนบเอกสารเพิ่มเติม หรือเอกสารเดิมบางตัวที่จำเป็นเข้าไป อย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่ AAT กับเจ้าหน้าที่อิมฯ ก็เป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องแนบเอกสารเดิมเพื่อระบุความสัมพันธ์ที่เป็นความจริงของทั้งคู่เข้าไปด้วย

จนในที่สุด เจ้าหน้าที่ AAT ก็ได้เรียกให้ภรรยาและลูกคนโต พร้อมกับพยานอื่นๆเพิ่มเติม (ถ้ามี) ไปทำการ Hearing (การไต่สวนเพิ่มเติม เพื่อฟังคำตัดสิน) ในวันที่ 7 ธันวาคม 2017 ซึ่งผลลัพธ์ของการฟังคำตัดสินก็เป็นไปด้วยดี เพราะเจ้าหน้าที่เชื่อในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนได้ส่งผลการกลับคำตัดสินกลับไปหาอิมมิเกรชั่นในวันที่ 11 ธันวาคม 2017 ทำให้อิมฯ grant partner visa ให้กับภรรยาและลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน
นี่ก็เป็นกรณีศึกษาที่เราได้นำมาให้อ่านกันใน VisaTalk by CPSydney Online version ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้นะครับ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย...เอาจริงๆ เรื่องวีซ่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายๆคนคิด อยากให้ทุกคนใส่ใจกับวีซ่าของตัวเองกันบ้าง ถ้ามัวแต่ทำงานไม่สนใจอะไรเลย แม้กระทั่งเงื่อนไขของวีซ่า หรือได้รับคำแนะนำที่ผิดจากเอเจนท์ตัวแทนบางที่ ก็อาจจะนำพาให้ทุกท่านไปสู่ปัญหาได้นะครับ

สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ CPSydney office ได้เลยนะครับ เรามี Migration agent ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องวีซ่าแต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษาของ CPSydney office ได้เลยที่ +61 2 9267-8522 หรือถ้าเป็นสาย social media ต่างๆก็จะทักทายกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้นะครับ
ปล. อย่าลืม LIKE เพจของเราเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้