ตกใจกับหัวข้อของเราในฉบับนี้ใช่ไหมครับว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงที่เคสแบบนี้จะถูกปฏิเสธ แต่งงานกันมาเป็น สิบสิบ ปีแล้วเชียวนะ...แต่ ปฏิเสธได้ เราก็สามารถช่วยแก้ไขจนทำให้ได้วีซ่ากลับมาเหมือนกันครับ
เดี๋ยวมาดูกันเลยว่าเคสนี้มีความเป็นมาอย่างไร และได้รับการแก้ไขอย่างไรจาก Migration agent ประจำ CPSydney office ถึงทำให้ได้รับการกลับคำตัดสิน และได้ PR มาครอบครองในที่สุด...บอกได้เลยว่า โชกโชนกันมาพอสมควรครับ โดยเคสตัวอย่างนี้เป็นกรณีศึกษาจากลูกค้าครอบครัวชาวจีนของ CPSydney office เราเองนี่แหล่ะ แต่อย่าได้เข้าใจผิดว่าเราทำเคสเขาพังแต่แรกนะครับ เพราะ Migration agent ของเราได้รับผิดชอบแค่ในส่วนที่ทำเรื่องอุทธรณ์ขอให้ AAT กลับคำตัดสิน และช่วยทำให้ได้ PR กลับมาเท่านั้นนะครับ ก่อนหน้านี้ครอบครัวชาวจีนครอบครัวนี้ได้ถูกปฏิเสธวีซ่ามาจากที่อื่น
TIME FRAME ความเป็นมาก่อนที่เคสจะตกมาถึงที่ CPSydney office ของเรา
- พฤศจิกายน 2010 คุณภรรยา (รวมลูกสาวคนโต) ได้ยื่นวีซ่าติดตามคุณสามีเข้าไป ภายใต้วีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ subclass 457
- กรกฎาคม 2011 เอเจนท์เจ้ากรรมดันไปแนะนำให้คุณภรรยาถอน (withdraw) วีซ่าติดตาม 457 ที่ยื่นเข้าไปซะอย่างงั้น (อันนี้ทั้งคุณสามีและภรรยาก็จำไม่ได้ว่าเขาให้เหตุผลว่าอะไร) แล้วได้ยื่นวีซ่าติดตามคุณสามีอีกตัวเข้าไปให้แทน subclass 857 (ปัจจุบันนี้ไม่มีวีซ่าตัวแล้วนะครับ ไม่ต้องไปหาให้เสียเวลา555)
- กุมภาพันธ์ 2012 วีซ่าติดตามคุณสามี subclass 857 ของคุณภรรยาถูกปฏิเสธ (refuse) แต่คุณสามีที่เป็น main applicant ได้วีซ่าผ่านเป็น PR ตามปกตินะครับ
- พฤศจิกายน 2013 Migration Review Tribunal (MRT) หรือ AAT ในปัจจุบัน ยืนยันคำตัดสินที่อิมฯปฏิเสธวีซ่าติดตามสามี subclass 857 ของคุณภรรยา
- พฤศจิกายน 2013 หลังจากที่คุณสามีได้ PR เป็นที่เรียบร้อย...ตัดภาพมาที่คุณภรรยาที่ถูกปฏิเสธแล้วปฏิเสธ เอเจนท์เจ้าเดิมก็ได้ยื่น Partner Visa subclass 820/801 ให้กับตัวคุณภรรยาพร้อมลูกสาวคนโตเข้าไปในช่วงปลายเดือนโดยมีตัวคุณสามีที่เพิ่งได้ PR เป็น sponsor
- ตุลาคม 2016 เรียบร้อยโรงเรียนอิมมิเกรชั่นอีกรอบไปตามระเบียบ ถูกปฏิเสธ Partner Visa ด้วยเหตุผลสุด classic ที่อิมฯไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ที่มีลูกมาด้วยกันแล้ว 1 คนเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นความจริง โดยก่อนที่จะปฏิเสธเป็นผลลัพธ์สุดท้ายออกมา อิมฯได้มีการขอเอกสารเพิ่มเติม และสัมภาษณ์เพิ่มเติมเพื่อประกอบคำตัดสินของวีซ่าอีกด้วย
ตอนที่เคสตกมาถึงของ Migration agent ประจำ CPSydney office ของเรา ก็เล่นเอา Migration agent ของเราเสียหลักไปเหมือนกันนะ เพราะจากที่ฟังเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า "ถูกปฏิเสธมาได้อย่างไร" เชื่อหรือไม่ว่าที่อิมมิเกรชั่นปฏิเสธมาเนี่ยะ มันคือความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2002 และมีลูกด้วยกันถึง 2 คนอีกด้วย โดยลูกคนโตยังมีสถานะเป็น Temporary Residence (TR) เหมือนคุณแม่ (ภรรยา) เพราะว่านับเป็นผู้ติดตามพ่วงไปในใบสมัคร PR ของคุณพ่อ (สามี) ในตอนที่ได้ยื่นวีซ่า subclass 857 และ subclass 820/801 ที่ได้รับผลการปฏิเสธมาทั้งคู่...ส่วนสำหรับลูกคนเล็กที่เพิ่งเกิดในปี 2016 หลังจากที่ยื่น partner visa เข้าไปในปี 2013 ก็รอดตัวไป เพราะถือว่าได้สัญชาติ หรือเป็นคนออสเตรเลียโดยกำเนิดตามคุณพ่อที่ได้รับ PR ไปก่อนหน้านี้แล้ว
อนึ่ง สำหรับเคสนี้เป็นการบอก หรือเป็นอุทธาหรณ์สอนหญิงได้อย่างชัดเจนในเรื่องของการเตรียมเอกสารว่า "เราควรจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม" ต้องคิดเสมอว่าอิมมิเกรชั่นคือคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัว อย่าไปทึกทักเองหรือออกลูกประมาทว่า "ส่งๆเข้าไปก่อน เดี๋ยวมีอะไรเขาก็ขอเพิ่มเติมเอง" จริงอยู่ที่เคสนี้อิมฯก็ขอเอกสารเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ถ้าเราทำทุกอย่างให้พร้อม หรือปิดประตูแพ้แต่แรก มันก็น่าจะดีกว่าจริงไหมครับ พยายามทำให้มันปลอดภัยไว้ก่อน อย่าทำแบบ สุกเอาเผากิน แล้วพอมีปัญหามันก็อาจจะสายเกินแก้ เข้าข่าย "วัวหายล้อมคอก" แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ
อีกประการหนึ่งก็พูดได้เลยว่า เอเจนท์ที่ทำเรื่องให้สามีภรรยาคู่นี้ก็ออกลูกประมาท ชะล่าใจไปหน่อยเหมือนกัน...ทั้งๆที่ก็เป็นคนยื่นวีซ่าให้กับครอบครัวนี้จนถูกปฏิเสธมาทั้ง 2 วีซ่า ก็ควรจะรู้ว่า เอกสารทุกอย่างจะต้องพร้อมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวนี้ที่โดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็จะยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวด ไม่ใช่มองว่าเป็นการยื่นวีซ่าคนละประเภทเพียงอย่างเดียว แล้วแนบแค่เอกสารพื้นฐานเบื้องต้นเพราะเชื่อในความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ว่าเป็นความจริง ที่น้าพูดแบบนี้ก็เพราะหลังจากที่ Migration agent ที่ออฟฟิศได้สอบถามเคสเพิ่มเติมกับตัวคุณสามีและภรรยา ก็สืบทราบเพิ่มเติมมาได้ว่า เอเจนท์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้ขอเอกสารอะไรเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการยื่น partner visa เลย และแนบเอกสารประกอบเข้าไปแค่เพียง 5 ไฟล์เท่านั้นสำหรับการทำ partner visa ได้แก่
อนึ่ง สำหรับเคสนี้เป็นการบอก หรือเป็นอุทธาหรณ์สอนหญิงได้อย่างชัดเจนในเรื่องของการเตรียมเอกสารว่า "เราควรจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม" ต้องคิดเสมอว่าอิมมิเกรชั่นคือคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัว อย่าไปทึกทักเองหรือออกลูกประมาทว่า "ส่งๆเข้าไปก่อน เดี๋ยวมีอะไรเขาก็ขอเพิ่มเติมเอง" จริงอยู่ที่เคสนี้อิมฯก็ขอเอกสารเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ถ้าเราทำทุกอย่างให้พร้อม หรือปิดประตูแพ้แต่แรก มันก็น่าจะดีกว่าจริงไหมครับ พยายามทำให้มันปลอดภัยไว้ก่อน อย่าทำแบบ สุกเอาเผากิน แล้วพอมีปัญหามันก็อาจจะสายเกินแก้ เข้าข่าย "วัวหายล้อมคอก" แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ
อีกประการหนึ่งก็พูดได้เลยว่า เอเจนท์ที่ทำเรื่องให้สามีภรรยาคู่นี้ก็ออกลูกประมาท ชะล่าใจไปหน่อยเหมือนกัน...ทั้งๆที่ก็เป็นคนยื่นวีซ่าให้กับครอบครัวนี้จนถูกปฏิเสธมาทั้ง 2 วีซ่า ก็ควรจะรู้ว่า เอกสารทุกอย่างจะต้องพร้อมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวนี้ที่โดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็จะยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวด ไม่ใช่มองว่าเป็นการยื่นวีซ่าคนละประเภทเพียงอย่างเดียว แล้วแนบแค่เอกสารพื้นฐานเบื้องต้นเพราะเชื่อในความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ว่าเป็นความจริง ที่น้าพูดแบบนี้ก็เพราะหลังจากที่ Migration agent ที่ออฟฟิศได้สอบถามเคสเพิ่มเติมกับตัวคุณสามีและภรรยา ก็สืบทราบเพิ่มเติมมาได้ว่า เอเจนท์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้ขอเอกสารอะไรเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการยื่น partner visa เลย และแนบเอกสารประกอบเข้าไปแค่เพียง 5 ไฟล์เท่านั้นสำหรับการทำ partner visa ได้แก่
- ทะเบียนสมรสของทั้งคู่
- ใบเกิดของลูกคนโต
- เอกสารระบุที่อยู่ของทั้งคู่ โดยที่แนบไปตอนแรกมีเอกสารที่ระบุว่าอยู่ที่อยู่เดียวกันถึงแค่ปี 2011 และเป็นแค่เพียงสัญญาเช่าบ้านเท่านั้น ประเด็นนี้ที่น่าสนใจ คือ ควรจะมีจดหมายอื่นๆด้วย การมีสัญญาบ้านร่วมกัน ไม่ได้แปลว่าอยู่ด้วยกันจริงๆ ใช่หรือไม่
- บัตรประกันสุขภาพ
- จดหมายรับรองความสัมพันธ์จากพยาน 2 ท่าน สำหรับการทำ partner visa
คือนึกกันออกใช่ป่ะว่าสามีภรรยาคู่นี้ เขามีความสัมพันธ์กันมาเป็น 10 ปีแล้ว เอกสารมันควรจะมีมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่เคยโดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง...เอเจนท์ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน ส่งเอกสารประกอบเข้าไปเพียงแค่นี้ นี่ที่จริงแล้วเคสนี้ยังต้องถือว่า อิมฯใจดีแล้วด้วยซ้ำนะครับ ถึงได้ขอเอกสารเพิ่ม และมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ที่เคี่ยวๆ วีซ่าอาจจะปลิวไปแต่แรกโดยที่ไม่ขอเอกสารหรือข้อมูลมาประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมแล้วก็ได้ โดยเอกสารที่ทางเอเจนท์เดิมได้แนบเข้าไปเพิ่มเติมก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายเลย มีเพิ่มแค่อีก 4 อย่างเท่านั้นเอง ได้แก่
- ใบเกิดของลูกคนที่ 2
- บัญชีคู่ (Joint Bank Account) ที่ทั้งคู่เพิ่งไปเปิดตอนเดือนพฤษภาคม 2016 ประเด็นนี้ก็อีก คือ เอเจนท์ควรจะแนะนำให้ไปเปิดบัญชีคู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว ถึงแม้ทางสามีภรรยาคู่นี้จะให้เหตุผลว่าสามารถเข้าถึงบัญชีหลักที่เป็นชื่อคนเดียวได้ตลอด แต่การเปิดบัญชีคู่ไม่ว่าจะมีเงินในบัญชีจำนวนมากหรือน้อย สำหรับอิมมิเกรชั่นแล้วมันคือ Financial Commitment ของคน 2 คนที่มีร่วมกันครับ
- เอกสารระบุที่อยู่เพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน
- จดหมายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ (Joint Relationship Statement)
แต่อย่างที่ทราบผลลัพธ์กันอยู่แล้ว ในที่สุดคุณภรรยาก็ถูกปฏิเสธวีซ่ามาในวันที่ 19 ตุลาคม 2016 ด้วยเหตุผลที่อิมฯไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นความจริง ตามที่ได้บอกไปนั่นแหล่ะ โดยบรรทัดฐานที่อิมฯเขานำมาประกอบการพิจารณาหลักๆก็จะมี 4 ข้อด้วยกัน (อันนี้ย้ำว่า ข้อหลัก นะครับ มันยังต้องมีปัจจัยอื่นๆอีกด้วย)
- Financial Aspects
- Nature of Household
- Social Aspects
- Nature of the Person's Commitment to each other
หมายเหตุ Migration agent ของ CPSydney office ได้สอบถามเพิ่มเติมจากสามีภรรยาโดยตรง และตัวน้าหนวดเองก็ได้อ่าน Decision Record ที่ปฏิเสธ partner visa มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยสามารถนำข้อมูลมาเขียนให้ได้อ่านเป็นกรณีศึกษากันนะจ๊ะ แต่เราไม่สามารถเปิดเผยชื่อ หรือให้ดูเอกสาร Decision Record ทั้งหมดได้เนอะ แต่เดี๋ยวจะแนบใบปะหน้าที่ผ่าน AAT และได้รับการกลับคำตัดสินให้ดู รับประกันได้ว่า "ของจริง ไม่ได้เป็นเอกสารปลอมแน่นอน คริคริ"
หลังจากที่คุณภรรยา และลูกคนโตได้ถูกปฏิเสธวีซ่า...ทางตัวคุณสามีและภรรยาเองก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้ติดต่อและลองปรึกษากับ Justine (Migration agent ประจำ CPSydney office) ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยและฟังแนวทางแก้ไขจาก Justine ไป ทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจให้ CPSydney office เป็นคนดูแลเคสในส่วนของการอุทธรณ์กับ AAT และได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์เข้าไปในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งสิ่งที่เราได้ทำเป็นหลักๆเลยก็คือ การเขียน submission อธิบายแก้ต่างในประเด็นต่างๆที่อิมฯได้แย้งมา รวมถึงการเขียนอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่โดยละเอียด และร่าง timeline ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มเข้าไปให้ทางเจ้าหน้าที่ AAT ดู และแนบเอกสารเพิ่มเติม หรือเอกสารเดิมบางตัวที่จำเป็นเข้าไป อย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่ AAT กับเจ้าหน้าที่อิมฯ ก็เป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องแนบเอกสารเดิมเพื่อระบุความสัมพันธ์ที่เป็นความจริงของทั้งคู่เข้าไปด้วย
จนในที่สุด เจ้าหน้าที่ AAT ก็ได้เรียกให้ภรรยาและลูกคนโต พร้อมกับพยานอื่นๆเพิ่มเติม (ถ้ามี) ไปทำการ Hearing (การไต่สวนเพิ่มเติม เพื่อฟังคำตัดสิน) ในวันที่ 7 ธันวาคม 2017 ซึ่งผลลัพธ์ของการฟังคำตัดสินก็เป็นไปด้วยดี เพราะเจ้าหน้าที่เชื่อในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนได้ส่งผลการกลับคำตัดสินกลับไปหาอิมมิเกรชั่นในวันที่ 11 ธันวาคม 2017 ทำให้อิมฯ grant partner visa ให้กับภรรยาและลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน
นี่ก็เป็นกรณีศึกษาที่เราได้นำมาให้อ่านกันใน VisaTalk by CPSydney Online version ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้นะครับ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย...เอาจริงๆ เรื่องวีซ่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายๆคนคิด อยากให้ทุกคนใส่ใจกับวีซ่าของตัวเองกันบ้าง ถ้ามัวแต่ทำงานไม่สนใจอะไรเลย แม้กระทั่งเงื่อนไขของวีซ่า หรือได้รับคำแนะนำที่ผิดจากเอเจนท์ตัวแทนบางที่ ก็อาจจะนำพาให้ทุกท่านไปสู่ปัญหาได้นะครับ
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ CPSydney office ได้เลยนะครับ เรามี Migration agent ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องวีซ่าแต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษาของ CPSydney office ได้เลยที่ +61 2 9267-8522 หรือถ้าเป็นสาย social media ต่างๆก็จะทักทายกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้นะครับ
ปล. อย่าลืม LIKE เพจของเราเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney
#น้าหนวด
วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น