วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

CPSydney เปลี่ยนผีให้เป็นคนได้ จริงๆนะ!!!

ฮัลโหลลล น้าหนวดกลับมาแล้วครับทุกโคนนน!! ต้องกราบขออภัยจริงๆที่ไม่ได้แวะมาเขียนบทความให้อ่านกันสำหรับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พอดีน้าติดภารกิจนิดหน่อยครับ ยังไงน้าขอไถ่โทษด้วยการเอาบทความของเดือนที่แล้วที่เป็น online version จากทางหนังสือพิมพ์ ThaiPress มาแปะให้อ่าน แล้วก็จะเขียนเนื้อหาบทความของเดือนนี้ให้อ่านกันด้วยเลย จะได้เหมือนเป็น 2 in 1 ไปเลยละกันสำหรับฉบับประจำเดือนธันวาคมนี้

ลิงค์บทความของเดือนที่แล้วนะครับ "เมาแล้วขับ ไม่ใช่แค่จำหรือปรับ...แต่โดนยกเลิกวีซ่าได้เลยนะคะ" http://thaipress.com.au/thaipress457_cp.html

ไปกันต่อไม่รอละนะ สำหรับบทความประจำเดือนธันวาคมนี้กันเลย...ขอเริ่มต้นด้วยประกาศวันหยุดในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ที่จะถึงนี้ก่อนเลยนะครับ โดย CPSydney office จะหยุดตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2018 จนถึง วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2019 และจะกลับมาให้บริการอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2019 ครับ เพราะฉะนั้นหากน้องๆเพื่อนๆคนไหนอยากจะปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของเราในเรื่องวีซ่าหรือคอร์สเรียนต่างๆก็ติดต่อมาก่อนที่เราจะหยุดช่วงปีใหม่จะเป็นการดีที่สุดนะครับ แต่ถ้าน้องๆคนไหนมีความจำเป็นที่จะต้องการขอคำปรึกษาจริงๆในเรื่องคอร์สเรียนและวีซ่านักเรียนในช่วงที่ออฟฟิศของเราหยุดทำการอยู่นั้น ก็ลองโทรมาหาน้าหนวดได้นะครับที่เบอร์โทร 0422 289 189 สำหรับน้องๆที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเคสของตัวเองอยู่แล้วก็ลองเช็คกับเจ้าหน้าที่ของตัวเองโดยตรงดูนะครับว่าสามารถติดต่อช่วงหยุดปีใหม่ได้หรือเปล่า

มาเข้าเรื่องของหัวข้อในฉบับนี้กันดีกว่า โดยกรณีศึกษาของบทความในวันนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกค้าชาวอินโดนีเซียของเราเองครับ งั้นนามสมมติก็เอาง่ายๆเรียกว่า "คุณโต้ง" ละกัน...ย้อนกลับไปประมาณช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จัสติน migration agent ประจำ CPSydney office ของเราก็ได้รับข่าวดีจากอิมมิเกรชั่นว่า Partner Visa (subclass 820) application ของคุณโต้งได้ผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ต้องรอผลของวีซ่ามายาวนานกว่าเกือบ 2 ปี สร้างความปิติยินดีให้กับคุณโต้งเป็นอย่างมากจนคุณโต้งเองก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะคุณโต้งไม่ได้บินกลับไปเยี่ยมหาคุณพ่อคุณแม่ที่อินโดนีเซียมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

เอาจริงๆ อ่านกันดูผิวเผินก็ดูไม่มีอะไร ก็แค่ Partner Visa อีกเคสที่ผ่าน แต่ มีใครใคร่รู้ใคร่สงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมคุณโต้งถึงไม่สามารถบินกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่อินโดนีเซียได้ ทั้งๆที่กำลังรอผลของวีซ่าอยู่ ปกติก็ต้องสามารถขอ Bridging Visa B (BVB) บินออกนอกประเทศได้ตามปกติสิ...เอาแบบเข้าเป้าตรงประเด็นกันเลยละกันคือว่า "คุณโต้งแกเป็นผี ไม่มีวีซ่า" ซึ่งก่อนที่แกจะเป็นผีแกก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหล่ะครับ แต่แกมาด้วยวีซ่าทำงานในฐานะแม่บ้านของข้าราชการในกงสุลหรือสถานทูต (Domestic Worker (temporary) Diplomatic and Consular visa) ซึ่งเมื่อคุณโต้งได้เริ่มทำงานก็พบว่าตัวเองถูกโกงค่าแรงซะอย่างนั้น และเมื่อทนไม่ไหวก็ต้องหนีออกมาในที่สุด จนสุดท้ายก็ยอมแพ้ในโชคชะตาปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นผีไม่มีวีซ่า เดชะบุญสวรรค์เป็นใจทำให้ได้มาพบกับแฟนชาวออสเตรเลียได้ครองรักกัน และทำ Partner Visa ในที่สุด...มาลงกันต่อในรายละเอียด ย้อนกลับไป 2 ปีก่อนหน้านี้หรืออาจจะมากกว่านั้น เป็นครั้งแรกที่ทาง CPSydney office ของเราได้รู้จักกับคุณโต้งและแฟน โดยทั้งคู่มีความประสงค์ที่จะให้เราเป็นคนทำเคส Partner Visa ให้ และได้แบไต๋บอกเราอย่างหมดเปลือกตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องถามว่าแกเป็นผีไม่มีวีซ่า ซึ่งหลังจากที่จัสตินได้คุยกับคุณโต้งและแฟนในเรื่องของเอกสารและได้ทราบเหตุผลที่ทั้งสองต้องการจะทำเรื่อง Partner Visa ในขณะที่คุณโต้งยังอยู่ในออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เริ่มต้นเก็บเอกสารและทำเคสกันทันที

ขอวนมาอธิบายในเรื่องของเหตุผลที่คุณโต้งยังสามารถยื่น Partner Visa (subclass 820) ในขณะที่ยังอยู่ในออสเตรเลียได้ซักหน่อย คือ ตั้งแต่กลางปี 2014 เป็นต้นมา ทางอิมมิเกรชั่นได้ออกข้อกฏหมายใหม่เกี่ยวกับการยื่น Partner Visa (subclass 820) ในออสเตรเลียที่เรียกว่า Schedule 3 ในเรื่องของ Criteria 3004 ที่ระบุว่า "ผู้สมัครสามารถยื่น Partner Visa (subclass 820) ในออสเตรเลียได้ภายใน 28 วัน หลังจากที่วีซ่าตัวปัจจุบันสิ้นสุดลง แต่จะต้องมีการเขียนจดหมายอธิบายเหตุผลประกอบที่จะขอยื่นวีซ่าในออสเตรเลียแทนที่จะต้องยื่นวีซ่าในขณะที่ตัวผู้สมัครอยู่นอกประเทศออสเตรเลีย" ซึ่งอิมมิเกรชั่นก็จะอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ของ Criteria 3004 เป็นหลักก่อนที่จะให้วีซ่ากับผู้ที่สมัครวีซ่าตัวนี้เข้ามานั่นเอง ซึ่งถึงแม้ว่า ในกรณีของคุณโต้งจะยื่น Partner Visa (subclass 820) application หลังจากที่วีซ่าตัวเก่าสิ้นสุดลงไปเป็นเวลามากกว่า 28 วันก็ตาม ทางอิมมิเกรชั่นก็ไม่ได้ใจร้ายหูดับไม่ฟังเหตุผลแต่อย่างใด เพราะในกรณีนี้ทั้งตัวสปอนเซอร์และผู้สมัครก็ยังจะสามารถเขียน compelling reasons อธิบายเหตุผลที่ไม่สามารถยื่นวีซ่าได้ในระยะเวลาที่กำหนดเป็นหลักฐานประกอบได้ครับ โดยเหตุผลต่างๆก็จะต้องเป็นเหตุผลที่อยู่เหนือความควบคุมจนส่งผลให้ไม่สามารถเดินทางออกประเทศและยื่นวีซ่าในระยะเวลาที่กำหนดได้ อาทิเช่น ท้องแก่ใกล้คลอดหรือมีบุคคลในครอบครัวป่วยหนักต้องดูแล (อันนี้ดักคอไว้ก่อนเลยหน่ะ ไม่ต้องทำเป็นหัวหมอปล่อยตัวให้ท้องโดยเอาเหตุผลที่เราเป็นแหล่งอ้างอิงนะครับ แต่ละเคสมันจะมีรายละเอียดและความเป็นมาที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นมันจะต้องดูหลายๆปัจจัยประกอบกันครับ)

จากการเปลี่ยนแปลงข้างต้นที่ได้แจ้งไป ทำให้หลายๆคนไม่กล้าเสี่ยงที่จะยื่นวีซ่าเข้าไปในขณะที่ยังอยู่ในออสเตรเลีย เพราะไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอในการโน้มน้าวให้อิมมิเกรชั่นเชื่อได้นั่นเอง ซึ่งก็จะนำมาสู่การปฏิเสธวีซ่าในผลลัพธ์สุดท้ายนั่นเองครับ ละก็ต้องยื่นใหม่ เสียเงินค่าวีซาอีกรอบ สบายตัวกันไปอีก รู้ๆกันอยู่ว่าโดนค่า application กันไปทีนึงก็เล่นเอากระเป๋าแห้งได้เหมือนกัน555

กลับมาที่เคสของคุณโต้งกันต่อ...หลังจากที่จัสตินได้พูดคุยกับคุณโต้งและแฟนที่เป็นสปอนเซอร์เรียบร้อยแล้ว ก็เชื่อว่า compelling reasons ของทั้งคู่นั้นหนักแน่นเพียงพอที่โน้มน้าวขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นได้ จึงเริ่มดำเนินการเก็บเอกสารและทำเคสให้กับทั้งคู่โดยทันที โดยเหตุผลหลักๆที่ใช้เป็น compelling reasons ก็คือ
  • คุณแม่ของสปอนเซอร์ล้มป่วย จำเป็นต้องพึ่งพาให้คุณโต้งดูแลในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน...ทั้งคู่จึงกังวลว่าจะไม่มีคนดูแลคุณแม่ถ้าคุณโต้งต้องออกนอกประเทศไปยื่น Partner Visa กลับเข้ามา
  • แฟนหรือสปอนเซอร์ของคุณโต้งมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงที่คบกัน จนไม่สามารถทำงานหรือนั่งนานๆได้ โดยมีเอกสารใบรับรองแพทย์และหลักฐานที่ได้รับเงิน support จาก Centrelink แนบประกอบยืนยันการป่วยของแฟนคุณโต้ง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่แฟนของคุณโต้งป่วยอยู่นั้น ก็ได้คุณโต้งนี่แหล่ะที่เป็นคนคอยดูแลทุกอย่าง ดังนั้นถ้าคุณโต้งต้องออกนอกประเทศอย่างไม่มีกำหนดกลับก็อาจจะส่งผลกระทบต่ออาการป่วยและจิตใจของแฟนคุณโต้งได้
เดชะบุญ สวรรค์เป็นใจ...หลังจากที่ยื่นเคสเข้าไปเป็นเวลากว่า 2 ปี ในที่สุดคุณโต้งและแฟนก็ได้รับข่าวดีดั่งที่เราได้แจ้งไปในข้างต้น และตอนนี้ก็ยังคงไว้วางใจให้ CPSydney office เป็นผู้ดูแลเคส จัดการในเรื่องของการขอ PR ในลำดับต่อไปครับ

เพิ่มเติมเกร็ดความรู้กันอีกสักหน่อย เผื่อใครยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไมหนอทำไมคุณโต้งถึงบินกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของตัวเองที่อินโดนีเซียไม่ได้...เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณโต้งนั้นเป็นผี ไม่มีวีซ่า แต่ก็โชคดี ไม่ได้ถูกอิมมิเกรชั่นจับได้ภายใน 45 วันตั้งแต่เป็นผีแต่อย่างใด ทำให้คุณโต้งได้รับ Bridging Visa C (BVC) หลังจากที่ยื่นวีซ่าคู่ครองเข้าไป ซึ่งตัว BVC เนี่ยะก็ไม่เหมือนกับ Bridging Visa A (BVA) ที่สามารถขอออกนอกประเทศเปลี่ยนเป็น Bridging Visa B (BVB) ได้ในกรณีที่ต้องการขอออกนอกประเทศในขณะที่ยังไม่รู้ผลของวีซ่าตัวใหม่ที่ยื่นเข้าไป นี่จึงเป็น้เหตุผลที่คุณโต้งไม่สามารถบินกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่อินโดนีเซียได้ในช่วงที่ถือ BVC รอผลของวีซ่าคู่ครองนั่นเองครับ

หยิบยกเคสตัวอย่างมาให้อ่านตั้งนานสองนาน น้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกชื่อแฟนของคุณโต้งเลยนี่หว่า แฟนของคุณโต้งมีชื่อว่า ทูพี ครับ!!!

และนี่ก็เป็นประวัติความเป็นมาของ Rapper หนุ่มชื่อดังของเมืองไทยในขณะนี้อย่าง โต้ง ทูพี นั่นเองงง ผ่าม พามมมม!!!

ไงหล่ะ ขำตัวโยนกันเลยอ่ะดิ555...ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกว่านี้ เคสนี้เป็นเคสจริงนะครับ ไม่ได้เอามาเขียนเพื่อเล่นตลกโปกฮาแต่อย่างใด โปรดอย่าเข้าใจน้าผิด คิดหักมุมว่าเคสนี้ไม่มีอยู่จริงหน่ะ


สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ CPSydney office ได้เลยนะครับ เรามี Migration agent ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องวีซ่าแต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษาของ CPSydney office ได้เลยที่ +61 2 9267-8522 หรือถ้าเป็นสาย social media ต่างๆก็จะทักทายกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้นะครับ

ปล. อย่าลืม LIKE เพจของเราเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้


แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะจ๊ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น