วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Grand Opening วีซ่าใหม่มาแล้วจร้าาาGrand Opening วีซ่าใหม่มาแล้วจร้าาา...Points system Schedule 6D ก็ด้วยนะ!!!

สวัสดี สวัสดี สวัสดี...วันนี้เรามาพบกัน เธอและฉันพบกัน สวัสดี แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดีครับ แพ่ม แพมมม555!! หายหน้าหายตาไปเกือบ 2 เดือนเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ ก่อนหน้านี้งานราษฎร์งานหลวงนี่ชุกเหลือเกิน จากฉบับล่าสุดที่เขียนเกี่ยวกับการทำ PR ผ่านทางรัฐ Tasmania ไป (ตามไปอ่านย้อนหลังกันได้ที่ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/10/Tasmania-subclass190-requirement.html) วันนี้ก็ตามหัวข้อเลย น้าจะพาหนูๆไปรู้จักกับวีซ่าทักษะตัวใหม่ทั้ง 3 ตัวที่เพิ่งประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี่เองครับ

**หมายเหตุ ตอนนี้ปัญหาไฟป่าในออสเตรเลียยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาให้สิ้นซากไป ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ...ใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ขอให้ปลอดภัย เริ่มต้นปี 2020 เมื่อไหร่ก็ขอให้เริ่มต้นกันแต่สิ่งดีๆนะครับ

อีกสักนิดก่อนจะไปลุยกันด้วยเรื่องของวีซ่าตัวใหม่ทั้งหลาย...ในช่วงตั้งแต่ประมาณปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการออกมาอัพเดทจากทาง Department of Home Affairs (DHA) ว่าจะเพิ่มจำนวนเงินสำหรับการโชว์เอกสารการเงินสำหรับทั้ง Student visa (subclass 500) และ Student Guardian visa (subclass 590) ในหมวดของ Living costs and expenses กับ Travel expenses ซึ่งก็จะมีรายละเอียดเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ไม่ต้องห่วง น้าหนวดได้สรุปขยำเอามากองรวมกันไว้ให้ตรงนี้แล้วครับ
  • หลักฐานทางการเงินจากธนาคาร (ผู้ที่เป็นสปอนเซอร์ต้องมีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่า)
    • มาเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวใคร A$21,014
    • มีแฟนติตามด้วย A$21,014 + A$7,362
    • มีคนติดตามเป็นลูก A$21,014 + A$11,448
    • มาเป็นครอบครัว A$21,014 + A$7,362 + A$11,448
  • หลักฐานทางการเงินที่เป็นรายได้ต่อปี (ผู้ที่เป็นสปอนเซอร์จะต้องมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า)
    • มาเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวใคร A$62,222
    • มีคนติดตาม (ไม่ว่าจะในความสัมพันธ์แบบคู่รัก หรือเป็นลูก) A$72,592

จะเริ่มเรื่องวีซ่าทักษะตัวใหม่ละนะ

คงจะพอทราบกันมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่ารัฐบาลของท่าน Scott Morrison นั้นต้องการจะผลักดันให้ผู้คนออกไปอยู่อาศัยในพื้นที่ภูมิภาคมากขึ้น เพื่อเป็นการลดความหนาแน่นของประชากรในเมืองใหญ่ต่างๆ รวมถึงเป็นการกระจายรายได้ให้ออกไปในทุกพื้นที่ของประเทศอีกด้วย จึงเป็นที่มาของการจำกัดความใหม่ของ Regional areas และ วีซ่าตัวใหม่ที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนที่ตัดสินใจไปเรียนหรือย้ายไปอยู่ในพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ยังเพิ่มโควตาต่อปีสำหรับการขอ PR ผ่านทางพื้นที่ภูมิภาค (Regional areas) เป็น 25,000 คน ตลอดระยะเวลา 4 ปีนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปอีกด้วย...เดี๋ยวเรามาเริ่มกันที่นิยามใหม่ของพื้นที่ภูมิภาคกันเลยดีกว่าเนอะ

  1. Major Cities ได้แก่ Sydney, Melbourne, และ Brisbane (น่าจะรวมถึงละแวกใกล้เคียงด้วย) จะไม่นับเป็นพื้นที่ภูมิภาคนะครับ และจะไม่ได้สิทธิประโยชน์อะไรจาก Regional incentives ซักอย่าง
  2. Cities and major regional centres ได้แก่ Perth, Adelaide, Gold Coast, Sunshine Coast, Canberra, Newcastle/Lake Macquarie, Wollongong/Illawarra, Geelong, และ Hobart จัดเป็นพื้นที่ส่วนภูมิภาคระดับ 1 ที่จะได้รับสิทธิพิเศษจาก Regional incentives ดังนี้
    • อยู่ในกลุ่มโควตา 25,000 คน/ปี ที่ยื่น PR ผ่านทาง regional areas ได้
    • Priority processing เหมือนเป็น fast lane อ่ะ
    • สามารถเลือกอาชีพในการยื่น PR จาก Regional Occupation List (ROL) ได้ด้วย
    • นักเรียนต่างชาติที่เลือกเรียนในพื้นที่ข้างต้น จะสามารถขอวีซ่า Post-study work visa ได้เพิ่มขึ้นอีก 1 ปี
  3. Regional centres and other regional areas ก็จะเป็นพื้นที่ส่วนภูมิภาคระดับ 2 ที่ครอบคลุมพื้นที่ที่เหลือนอกจากที่ได้ระบุไปข้างต้น (อันนี้จะต้องเช็ค postcode กันอีกทีด้วยนะครับ) จะได้รับสิทธิประโยชน์จาก Regional incentives เช่นเดียวกันกับพื้นที่ส่วนภูมิภาคระดับ 1 แต่จะแตกต่างกันตรงที่
    • นักเรียนต่างชาติที่เลือกเรียนในพื้นที่กลุ่มนี้ จะสามารถขอวีซ่า Post-study work visa ได้เพิ่มขึ้นอีก 2 ปี
    • สิทธิประโยชน์จากการเป็น Designated Area Migration Agreements (DAMAs)
นอกจากนี้ ข่าวดีที่เกี่ยวข้องกับน้องๆที่สนใจจะเลือกไปเรียนในพื้นที่ส่วนภูมิภาคทั้งหลาย ก็จะเป็นในเรื่องของทุนการศึกษามูลค่า A$15,000 จากรัฐบาล...จากประกาศของ Department of Education (DE) ตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในปีการศึกษา 2020 รัฐฯได้อนุมัติทุนการศึกษาดังกล่าวชื่อ Destination Australian Program ออกมาแล้วทั้งหมดถึง 1,180 ทุนด้วยกัน โดยจะครอบคลุมแจกให้ทั้งนักเรียนต่างชาติและนักเรียนท้องถิ่น ส่วนระดับหลักสูตรที่ครอบคลุมก็จะไล่ขึ้นไปตั้งแต่ Certificate IV จนลากยาวไปถึง PhD เลยนะครับ เพราะฉะนั้นหากใครสนใจในทุนดังกล่าวก็สามารถแสดงเจตจำนงกับทางสถาบันการศึกษาที่เลือกเรียนเพื่อสมัครขอทุนการศึกษากันได้เลยนะครับ แต่ อย่าเข้าใจผิดคิดว่าทุกสถาบันการศึกษาในออสเตรเลียที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาคจะได้รับอนุมัติทุนดังกล่าวจากรัฐทุกสถาบันนะครับ เพราะมีสถาบันการศึกษาแค่เพียง 35 แห่งเท่านั้นเองนะครับที่ได้รับทุน Destination Australian Program จากทางรัฐบาล ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่จะเริ่มเรียนกับโรงเรียนหรือมหา'ลัยที่ตั้งอยู่ใน regional areas ตั้งแต่ปีการศึกษา 2020 เป็นต้นไป ก็สามารถลองติดต่อสถาบันที่ตัวเองเลือกเรียนต่อกันดูได้นะครับ ถ้าโชคดีได้รับทุนนี้ ก็สบายตัวเลยนะ

มาดูกันต่อที่รายละเอียดของวีซ่าทักษะตัวใหม่ทั้ง 3 ตัว ที่ Grand opening กันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมากันบ้างดีกว่า
  • Skilled Work Regional (Provisional) visa subclass 491 ตัวนี้จะมาแทนที่ subclass 489 ตั้งแต่วันที่ประกาศนี่แหล่ะ ที่จริงก็ยังมีความคล้ายคลึงกับตัว 489 พอสมควร แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาก็จะมีตามนี้เลยครับ
    • คำจำกัดความของ Regional areas ที่เพิ่งเขียนไปในข้างต้น
    • คนที่ถือวีซ่า 491 จะไม่สามารถเปลี่ยนไปยื่น partner visa ได้ นอกเสียจากว่าถือตัว 491 มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไป นอกจาก partner visa แล้วก็ยังจะมีวีซ่าตัวอื่นๆอีกด้วยที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อนี้ ได้แก่ Distinguished Talent subclass 124 และ subclass 858, Business Talent subclass 132, Employer Nomination Scheme subclass 186, Business Innovation and Investment (Provisional) subclass 188, Skilled - Independent subclass 189, และ Skilled - Nominated subclass 190
    • วีซ่า 491 เป็นวีซ่า 5 ปี ในขณะที่ตัว 489 จะอยู่ที่ 4 ปีเท่านั้น
    • คนติดตาม (Second applicant) หลังจากที่ได้วีซ่าแล้ว สามารถย้ายไปอยู่ใน regional areas บริเวณอื่นได้ แต่คนหลักต้องอยู่ที่เดิมกับที่สมัครวีซ่าไป
คราวนี้ก็มาดูกันต่อที่คุณสมบัติของคนที่จะสมัครวีซ่า 491 นี้กันดูบ้าง ว่าคนที่สนใจในวีซ่าตัวนี้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ถึงจะเพียงพอต่อการสมัครวีซ่าตัวนี้ จะได้ไปเตรียมตัวฟิตร่างกายมาได้ถูกต้อง
      1. ได้รับการสปอนเซอร์จาก state or territory ที่อาศัยอยู่ หรือญาติที่อาศัยอยู่ใน regional areas นั้นๆ
      2. ต้องเป็นอาชีพที่อยู่ในลิสต์ที่เป็นที่ต้องการของ state or territory นั้นๆ
      3. อายุไม่เกิน 45 ปี ขณะที่สมัครวีซ่าตัวนี้
      4. Positive skills assessment
      5. นับคะแนนให้ได้มากกว่า 65 คะแนนในระบบ Points stystem
      6. มีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ Competent English เทียบได้เป็นคะแนนสอบ IELTS 6.0 ในแต่ละพาร์ท หรือเทียบเท่า
      7. คุณสมบัติรวมๆอื่นๆ ก็จะเป็นในเรื่องของสุขภาพ ประวัติทางคดีความและประวัติวีซ่าต่างๆ รวมถึงไม่มีสภาวะเป็นหนี้ในออสเตรเลีย
  • Skilled Employer Sponsored Regional (Provisional) visa subclass 494 ตัวนี้น่าจะง่ายหน่อยละ เพราะหลายๆคนน่าจะคุ้นเคย เนื่องจากตัววีซ่า 494 จะเข้ามาแทนตัว PR ที่ได้มาจากการมีนายจ้างสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนจากการทำงานใน regional areas (Direct entry stream) เท่านั้นนะครับ ส่วนคุณสมบัติของการสมัครวีซ่าตัวนี้ก็จะเป็นดังต่อไปนี้ครับ
    • Employer Sponsored Stream
      • PIC 4007 คือ ทั้งคนหลักและคนติดตาม (ในกรณีที่มี) จะต้องไม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ
      • ได้รับการสปอนเซอร์จากนายจ้างที่ประกอบธุรกิจอยู่ใน regional area
      • อายุไม่เกิน 45 ปี ขณะที่ยื่นสมัครวีซ่า
      • Positive skills assessment
      • มีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ Competent Englishเทียบได้เป็นคะแนนสอบ IELTS 6.0 ในแต่ละพาร์ท หรือเทียบเท่า 
      • พิสูจน์ได้ว่ามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 3 ปี (นับเฉพาะ Full time 38 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)
    • Labour Agreement Stream
      • PIC 4005 ก็คือเรื่องสุขภาพเหมือน PIC 4007 นั่นแหล่ะ
      • นายจ้างต้องมี work agreement กับทางรัฐบาลออสเตรเลีย
      • อายุไม่เกิน 45 ปี ขณะที่ยื่นสมัครวีซ่า นอกเสียจากว่ามีระบุข้อยกเว้นใน labour agreement ระหว่างนายจ้างกับภาครัฐ
      • Positive skills assessment
      • มีความสามารถทางภาษาอังกฤษตามที่ระบุไว้ใน labour agreement ระหว่างนายจ้างกับภาครัฐ
      • พิสูจน์ได้ว่ามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 3 ปี (นับเฉพาะ Full time 38 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)
  • Permanent Residence (Skilled Regional) visa subclass 191 ตัวนี้ต้องรอจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2020 นู้นเลย ถึงจะเริ่มยื่น PR ผ่านทาง subclass 191 ได้ หลักก็คือต้องถือวีซ่า 491 หรือ 494 อย่างน้อยเป็นเวลา 3 ปี ถึงจะขอ PR ใน subclass นี้ได้นั่นแหล่ะ
จบท้ายกันสวยๆด้วย Points system (Schedule 6D) แบบใหม่ ที่ประกาศออกมาในวันเดียวกัน โดยให้มีผลบังคับใช้กับ subclass 189, subclass 190, subclass 489, และ subclass 491...ชัดๆ เคลียร์ๆ กันตรงนี้นะครับว่าตัว Points system ใหม่ตัวนี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2019 เป็นต้นมา เพราะฉะนั้นคนที่ยื่น PR ไปก่อนหน้านี้ ด้วยการนับคะแนน ไม่ว่าจะเป็น subclass อะไรก็แล้วแต่ จะไม่ได้รับผลกระทบกับ Points system ตัวใหม่นี้ครับ
  • 15 คะแนน สำหรับผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจาก state or territory หรือสมาชิกครอบครัวใน regional areas
  • 10 คะแนน สำหรับผู้สมัครที่คนติดตามมีทักษะที่เป็นที่ต้องการในออสเตรเลียเหมือนกัน
  • 10 คะแนน สำหรับผู้สมัครที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท (Research) หรือปริญญาเอกในออสเตรเลียทางด้าน STEM ได้แก่ Science, Technology, Engineering, หรือ Mathematics
  • 10 คะแนน สำหรับผู้สมัครที่ไม่มีคนติดตามแนบพ่วงเข้ามาด้วย
  • 5 คะแนน สำหรับผู้สมัครที่คนติดตามมีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ Competent English เทียบได้เป็นคะแนนสอบ IELTS 6.0 ในแต่ละพาร์ท หรือเทียบเท่า
  • 5 คะแนน สำหรับผู้สมัครที่เรียนใน regional areas
นอกจากนี้ ทาง DHA ยังระบุถึงลำดับการออก invitation letter ให้ยื่น PR ในกรณีที่คะแนนเท่ากันอีกด้วย
  1. ผู้สมัครที่คนติดตามมีทักษะที่เป็นที่ต้องการในออสเตรเลีย หรือผู้สมัครที่ไม่มีคนติดตามยื่นพ่วงเข้ามาด้วย
  2. ผู้สมัครที่คนติดตามมีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ Competent English
  3. ผู้สมัครที่คนติดตามไม่มีทั้งทักษะที่เป็นที่ต้องการในออสเตรเลีย และมีความสามารถทางภาษาอังกฤษไม่ถึงระดับ Competent English
ทิ้งท้ายบทความด้วยช่องทางการติดต่อของ CPSydney office เหมือนเดิม ถ้าเป็นเบอร์โทรศัพท์ก็ตามนี้เลยครับ +61 2 9267 8522 หรือจะทักกันมาที่ Facebook page www.facebook.com/cpsyd หรือที่ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้...เราสามารถให้คำปรึกษาได้ทั้งในเรื่องของวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว และวีซ่าทักษะประเภทต่างๆเลยครับ

สุดท้ายก็ฝากกด LIKE หรือ FOLLOW เพจกันด้วยนะครับ จะได้ติดตามข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ และเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับวีซ่าออสเตรเลีย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและข่าวสารต่างๆในออสเตรเลียกันได้ครับ...สำหรับฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้านะจ๊ะ

ปล. ช่วงนี้ออฟฟิศของเราปิดปีใหม่ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2019 ไล่ยาวไปถึงวันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2020...แล้วจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกทีวันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2020 นะครับ ระหว่างนี้ถ้าใครมีเรื่องด่วนอะไรก็สามารถติดต่อมาได้ที่ +61 422 289 189 หรือ LINE ID: cpsydney2 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562

มาช้าแต่มานะ...Tasmania ย้ายไปจะได้ PR จริงไหมซิ!!!

วันนี้เราจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ทักทายกันให้เสียเวลา จะรีบเข้าเนื้อหาให้ได้อ่านแล้วจะได้แยกย้ายไปทำอย่างอื่นกันนะ...ก็ในฉบับนี้น้าจะมาเขียนให้ได้อ่านกันเกี่ยวการยื่น PR จาก subclass 190 (Skilled Nominated visa) ด้วยการย้ายไปเรียนและอาศัยอยู่ใน Tasmania เพราะว่าช่วงนี้มีกระแสน้ำวนกลับเข้ามาถามกันเยอะเหลือเกินว่า จะย้าย หรือไม่ย้าย

ก่อนจะไปพูดถึงเจ้าตัว 190 ก็มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่จะมาเขียนเตือนให้ได้อ่านกัน จะได้ไม่ไปหลงเชื่อกันแบบผิดๆอีก...คือว่า ตอนนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถยื่นขอ Skilled Regional (Provisional) visa subclass 489 ของรัฐ Tasmania กันได้แล้วนะครับ เพระาทาง Tasmanian Government ได้ประกาศปิดรับสมัครวีซ่าตัวนี้ไปตั้งแต่วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว!!

อธิบายให้เข้าใจเพิ่มเติมเป็นความรู้ติดตัวกันไว้สักนิด...subclass 489 คือ วีซ่าที่ผู้สมัครจะยื่นเพื่อขอพำนักอาศัยและทำงานในเขต regional area ของออสเตรเลียได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่หลังจากที่ถือวีซ่า 489 ตัวนี้ก็จะสามารถขอ PR จากใน regional area นั้นได้ในอนาคตนั่นเอง

วกกลับมาที่ 489 ของที่ Tasmania กันต่อนะครับ...ตามที่ได้บอกไปว่า "ได้มีการปิดรับสมัครไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" เพราะฉะนั้นก็อย่าไปหลงคำโฆษณาชวนเชื่อจากที่ไหนหล่ะว่ายังสามารถยื่นวีซ่าตัวนี้ได้อยู่ อย่างเร็วก็จะยื่นได้อีกทีก็ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2019 เป็นต้นไปเลย แล้วก็จะเป็นวีซ่าทักษะตัวใหม่ที่เข้ามาแทนที่เจ้าตัว 489 นี้ด้วย แต่กระนั้นก็ดี สำหรับคนที่ยื่นแสดงเจตจำนงว่าต้องการจะขอวีซ่า 489 ใน Tasmania แล้วได้รับ invitation จากทางหน่วยงานของ Tasmania เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ยังจะสามารถขอวีซ่าตัวดังกล่าวได้จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้เท่านั้นนะครับ

อันนี้คือเรื่องที่จะแจ้งเตือนให้ได้อ่านกันเรื่องแรกเกี่ยวกับวีซ่า 489 ของ Tasmania นะครับ เพราะมีคนสอบถามเข้ามาว่ากำลังจะยื่นวีซ่าตัวนี้ใน Tasmania ในช่วงที่เขาปิดรับสมัครไปแล้วเข้ามาพอสมควรเหมือนกัน...เอาเป็นว่าตอนนี้ หมดสิทธิ์แล้วนะครับ รอหลังวันที่ 16 พฤศจิกายนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีกับวีซ่าทักษะตัวใหม่เนอะ

มากันที่ Skilled Nominated visa subclass 190 ของ Tasmania กันดีกว่า พูดชื่อนี้หลายๆคนอาจจะยืนงงในดงตาลแล้วอุทานออกมาว่า #อิหยังวะ วีซ่าตัวนี้ก็เป็นตัวเดียวกันกับที่หลายๆคนรู้จักในชื่อของ state sponsorship หรือการขอ PR โดยที่ได้รับการสปอนเซอร์จากรัฐต่างๆในออสเตรเลียนั่นแหล่ะ ซึ่งเจ้าตัว subclass 190 นี้ หลักการโดยรวมของมันก็คือการนับแต้มแล้วยื่นขอ PR ด้วยตัวเองเหมือน subclass 189 นั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่าถ้าได้การรับรองหรือการสนับสนุนจาก state ที่สมัครไปเราก็จะได้แต้มเพิ่มขึ้น หรืออีกนัยนึงจากที่จะต้องทำแต้มให้ได้ 65 คะแนนถึงจะมีสิทธิ์ขอ PR ภายใต้ subclass 189 ได้ ก็จะเหลือแค่เพียง 60 คะแนนใน subclass 190 นั่นเองครับ (เน้นย้ำที่คำว่า "มีสิทธิ์ขอ PR" ได้นะครับ...ต้องเข้าใจก่อนว่าทั้ง 189 และ 190 จะให้ invitation ในการยื่น PR กับผู้สมัครตามลำดับของคะแนนที่ยื่นเข้ามา เพราะฉะนั้นยิ่งนับแต้มได้มากก็มีสิทธิ์มากนะครับ)

นอกเรื่องไปอธิบายให้เห็นภาพรวมกันแป๊บนึง มาต่อสำหรับการขอ 190 ใน Tasmania นะครับ...การจะขอ PR ใน Tasmania ด้วย subclass 190 สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 3 รูปแบบด้วยกัน
  1. Tasmanian Graduate
  2. Working in Tasmania
  3. Overseas applicant (job offer)
ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบนี้ก็จะมีเงื่อนไขและคุณสมบัติ (requirements) ที่ต้องการแตกต่างกันออกไปครับ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงในเรื่อง requirement ของทั้ง 3 รูปแบบ ก็จะมีคำแจ้งเตือนโดยตรงจากทาง Tasmanian Government website ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนไว้ดังนี้ "Meeting the nomination requirements does not guarantee that you will be offered state nomination from the Tasmanian Government" อันนี้ไม่ต้องแปลใช่ไหมอ่ะ เพราะมันก็ตรงตัวเลย แต่แปลให้อ่านก็ได้ กลัวโดนว่าอ่ะ #ช่วงนี้จิตใจเประาบาง555 ก็คือเขาบอกว่าต่อให้มีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าผู้สมัครจะได้รับ state nomination approval จากทางรัฐ ด้วยเหตุผลที่สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ตามนี้ครับ คือ Tasmanian Government เขาต้องการคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่เป็นประโยชน์และแสดงเจตจำนงว่าต้องการที่จะอาศัยอยู่ใน Tasmania ต่อไปจริงๆ เขาเลยพิจารณาถี่ถ้วนมากๆ ประกอบกับการแข่งขันที่สูง แต่ไม่ได้สอดคล้องกับโควตาต่อปีที่เขาสามารถออก state nomination approval ให้กับคนที่ยื่น PR ภายใต้ subclass นี้ได้ ทำให้ไม่ใช่ทุกคนที่ยื่นขอ state nomination เข้ามาจะได้รับการอนุมัติจากทาง Tasmanian Government โดยปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อการคัดกรองนอกจาก requirements ที่ได้กำหนดไว้ในเบื้องต้นก็จะเป็นคะแนนจากระบบ point test ที่ผู้สมัครทำได้, ระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ, หรือแม้แต่ทักษะอาชีพที่สมัครเข้ามาก็มีผลเช่นกัน ฯลฯ

พอมาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะค้านว่า "เคยได้ยินมาว่า ใน Tasmania ไม่มีลิสต์อาชีพเฉพาะเจาะจงหนิคะ" ใช่ครับ แต่ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด คือลิสต์อาชีพจะใช้กับคนที่เลือกสมัคร 190 ใน Tasmania แบบ Working in Tasmania และ Overseas applicant (job offer) นะครับ จะมีแค่เพียงในกรณีของคนที่เรียนจบใน Tasmania เท่านั้นที่จะไม่ต้องมีทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับลิสต์อาชีพที่ขาดแคลนและเป็นที่ต้องการใน Tasmania...นอกจากนี้ อ้างอิงจาก Tasmanian Government website เขาก็ได้ระบุว่ามีกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการเป็นอย่างมากใน 3 กลุ่มอาชีพนี้ ได้แก่
  • Health and medical professions
  • Construction industries
  • Agricultural professions
เข้าใจในภาพรวมของ Skilled Nominated visa subclass 190 ของ Tasmania กันไปแล้ว...คราวนี้ก็จะมาถึง requirements ของการสมัครแบบต่างๆ ที่เป็นพระเอกของบทความในฉบับนี้กันสักที
  • Tasmanian Graduate
    • ลงทะเบียนเรียนกับ CRICOS registered tertiary institution ใน Tasmania (ไม่ได้แอคติ้งใช้ศัพท์ยากให้งงนะ เอาเป็นว่า "ต้องลงทะเบียนเรียนกับสถาบันที่จดทะเบียนถูกต้อง" ละกัน) แล้วก็ต้องเรียนจบ และ meet Australian study requirement ใน Tasmania ด้วย
    • อาศัยอยู่ใน Tasmania เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี โดยนับรวมเวลาตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ใน Tasmania ด้วย
    • ผู้สมัคร และผู้ติดตาม (ถ้ามี) ต้องอาศัยอยู่ใน Tasmania ขณะที่ยื่นใบสมัคร และต้องแสดงเจตจำนงว่าต้องการจะอาศัยอยู่ใน Tasmania ต่อไป
      • ข้อยกเว้นสำหรับคนที่เรียนใน Tasmania ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2017
        • หลักสูตรที่เรียนจบ จะต้องเป็นในระดับ Diploma เป็นอย่างน้อย หรือถ้าเป็น Trade qualification (คอร์สทักษะเฉพาะทางต่างๆ) จะเป็นวุฒิ Certificate III ได้ แต่ต้องเป็นทักษะอาชีพใน Major Group 3 ของ ANZSCO
        • เป็นหลักสูตร 1 ปี ที่มีระยะเวลาเรียน 40 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย
        • อาศัยอยู่ใน Tasmania เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี โดยนับรวมเวลาตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ใน Tasmania ด้วย
        • ผู้สมัคร และผู้ติดตาม (ถ้ามี) ต้องอาศัยอยู่ใน Tasmania ขณะที่ยื่นใบสมัคร และต้องแสดงเจตจำนงว่าต้องการจะอาศัยอยู่ใน Tasmania ต่อไป
  • Working in Tasmania
    • ทำงานใน Tasmania อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนที่จะยื่น Tasmanian state nomination
    • นายจ้างไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของบริษัทหรือร้านค้าที่ทำงานอยู่ด้วยจะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความมั่นคงของธุรกิจ และต้องเปิดดำเนินการอยู่ใน Tasmania ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างน้อย และมีความจำเป็นที่จะต้องจ้างคุณให้ทำงานในองค์กรในตำแหน่งที่ขาดแคลน
    • ต้องเป็น nominated occupation ตามลิสต์ของ Tasmania
    • หลักฐานการทำงานต้องระบุได้ว่าต้องมีชั่วโมงการทำงานอย่างน้อย 35 ชั่วโมง/สัปดาห์ โดยจะมาจากงาน full time งานเดียว หรือการทำงาน part time มากกว่า 1 งานรวมกันก็ได้
    • ผู้สมัคร และผู้ติดตาม (ถ้ามี) ต้องอาศัยอยู่ใน Tasmania ขณะที่ยื่นใบสมัคร และต้องแสดงเจตจำนงว่าต้องการจะอาศัยอยู่ใน Tasmania ต่อไป
**หมายเหตุ การฝึกงาน หรืองานอาสาสมัครต่างๆ จะไม่สามารถนำมานับรวมเป็นหลักฐานการทำงานได้นะครับ แล้วก็อ้างอิงจาก Tasmanian Government website จะพบว่ามีบางกลุ่มทักษะอาชีพที่ทาง Tasmanian Government ได้ออกมาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถยื่นขอ Tasmanian state nomination เพื่อขอ PR subclass 190 แบบ Working in Tasmania ได้ ตัวอย่างของกลุ่มอาชีพต้องห้ามก็จะเป็นการทำงานที่เกี่ยวกับ supermarkets, service stations, limited service restaurants, massage clinics, taxi/uber driving ฯลฯ
  • Overseas applicant (job offer)
    • ได้ job offer จากบริษัทหรือร้านค้าที่ตั้งอยู่ใน Tasmania และจะต้องเป็นตำแหน่งอาชีพที่ขาดแคลน (nominated occupation) ใน Tasmania ด้วย
    • ผู้สมัคร และผู้ติดตาม (ถ้ามี) ต้องไม่ได้อาศัยอยู่ในออสเตรเลียในช่วง 12 เดือน หรือ 1 ปีที่ผ่านมา
    • มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่พิสูจน์ได้ - โดยในส่วนของนายจ้างก็จะมีเงื่อนไขเหมือนกับ requirement ของการขอ PR แบบ Working in Tasmania เช่นเดียวกันครับ
ทั้งหมดนี้ก็จะเป็น requirements ของการขอ PR ภายใต้ subclass 190 ใน Tasmania ด้วยรูปแบบต่างๆนะครับ แต่นอกจาก requirements ในแต่ละรูปแบบที่เราจะตัดสินใจว่าจะเลือกยื่นแบบไหนเนี่ยะ มันก็จะมีข้อกำหนดค่ากลางที่ผู้สมัครทุกคนต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ให้ครบถ้วนอีกด้วยนะครับ ถึงจะยื่นขอ PR ภายใต้ Skilled Nominated visa subclass 190 ของ Tasmania ได้
  1. อายุยังไม่ถึง 45 ปี ในขณะที่ยื่นใบสมัคร
  2. เป็นอาชีพที่อยู่ในลิสต์ที่เป็นที่ต้องการใน Tasmania ยกเว้นการขอ PR แบบ Tasmanian Graduate
  3. มีผลอนุมัติ หรือ positive result ของ skill assessment ในทักษะอาชีพที่ยื่นเข้าไป
  4. มีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ Competent English (IELTS เทียบเท่า 6.0 ทุกพาร์ท) ตามไปหาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Competent English กันได้ที่ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/10/5-years-study-english-exemptions.html
  5. ได้คะแนนขั้นต่ำอยู่ที่ 65 คะแนน
จบบทความสวยๆด้วยข้อคิดเตือนใจจากน้าหนวดคนดีคนเดิมสักนิดละกัน คือ เข้าใจนะครับว่าหลายๆคนคงอาจจะอยากหาหนทางอยู่ต่อ แล้วก็ยื่นขอ PR ที่จริงทางเลือกนี้ (การย้ายไปเรียนที่ Tasmania) ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจแหล่ะ แต่อยากให้ลองอ่านบทความนี้ดูกันก่อนที่จะตัดสินใจนะครับ...ที่บอกว่าอ้างอิงข้อมูลมาจาก Tasmanian Government website ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ลองกดลิงค์แหล่งข้อมูลอ้างอิงกันดูได้ คือ น้ามองว่าที่มีโฆษณาบอกว่า "ย้ายไปเรียนอะไรก็ได้ปีเดียว ก็ขอ PR ได้แล้ว" น้าว่ามันดูง่ายไปหน่อย มันน่าจะต้องมีอะไรอีกสิ เลยลองค้นคว้าหาเรื่องนี้มาอ่านและปรึกษา Migration agent ของทาง CPSydney office ดู แล้วก็ได้ข้อมูลมาตามที่ได้เขียนให้ได้อ่านกันครับ ยังไงก็ลองอ่านและตัดสินใจกันดูเนอะ

ทิ้งท้ายบทความด้วยช่องทางการติดต่อของ CPSydney office เหมือนเดิม ถ้าเป็นเบอร์โทรศัพท์ก็ตามนี้เลยครับ +61 2 9267 8522 หรือถ้าเป็นสาย chat ก็ทักกันมาได้ที่ Facebook page www.facebook.com/cpsyd หรือที่ LINE ID: cpsydney2 ก็สามารถทักทายกันมาได้เช่นเดียวกันนะครับ...เราสามารถให้คำปรึกษาได้ทั้งในเรื่องของวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว และวีซ่าทักษะประเภทต่างๆเลยครับ

สุดท้ายก็ฝากกด LIKE หรือ FOLLOW เพจกันด้วยนะครับ จะได้ติดตามข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ และเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับวีซ่าออสเตรเลีย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและข่าวสารต่างๆในออสเตรเลียกันได้ครับ...สำหรับฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้านะจ๊ะ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2562

อวสานโลกสวย...ซวยแล้ว 5 years-study English Exemptions!!!

กลับมาแล้ววว วันนี้เราจะไปกันอย่างรวดเร็วไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงทักทายกันให้เสียเวลาเลยนะครับ...ก็ตามหัวข้อเลยนั่นแหล่ะ คือว่า ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา ในวงการ Migration Agent ที่หลายๆคนเข้าใจผิดเรียกว่า "ทนาย" Migration Agent อ่ะ ไม่ใช่ทนายนะ แต่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับข้อกฎหมายในการย้ายถิ่นฐานที่ได้ลงทะเบียนและได้รับการรับรองจาก Migration Institute of Australia...ทนาย จะต้องเป็น lawyer โดยส่วนใหญ่คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับวีซ่า ก็ใช้บริการของ Migration Agent ก็เพียงพอแล้วครับ น้อยกรณีมากๆที่จะต้องลามไปถึงการใช้ทนายความจริงๆ

กลับเข้าเรื่องกันต่อ ข้างบนที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องทนายและ Migration Agent คืออยากให้ความรู้เฉยๆ จะได้เรียกได้ถูกต้องและไม่โดนหลอกครับ...ก็คือในวันที่ดังกล่าวอ่ะ ได้มีการประกาศเปลี่ยนแปลงออกมาจากทาง Department of Home Affairs ว่า "มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของการใช้ระยะเวลาเรียน 5 ปีที่เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษในออสเตรเลีย" #อีหยังวะ โดยให้มีผลบังคับใช้กับผู้สมัครที่ยื่นวีซ่าตั้งแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไปเลยนะ แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะไม่ใช่ว่าทุกประเภทของวีซ่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะมีเพียงแค่วีซ่า 2 ประเภทเท่านั้นได้แก่
  1. Subclass 186 Temporary Residence Transition stream (TRT stream)
  2. Subclass 187 Temporary Residence Transition stream (TRT stream)
วีซ่า 2 ตัวนี้คืออะไร ไหนบอกซิ...ก็สำหรับวีซ่า 2 ตัวที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จะเป็นสำหรับการขอ PR ผ่านทางการมีนายจ้างสปอนเซอร์นั่นเองนะครับ โดยจะนับรวมหมดไม่ว่าจะเป็นคนที่ได้วีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ตัวเก่า subclass 457 หรือจะเป็นแบบใหม่ที่ต้องดูตามลิสต์อาชีพ subclass 482 ถ้าจะยื่น PR ด้วยวิธีนี้ก็โดนสัปทานการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ทั้งคู่ครับ

มาเข้ารายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงที่ว่ากันต่อออ คือ ก่อนหน้านี้เนี่ยะ คนที่จะยื่นขอ PR ด้วยทั้ง 2 subclass จะต้องมีเอกสารที่พิสูจน์กับอิมมิเกรชั่นได้ว่า ตัวผู้สมัครเองมีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ "Competent English" เป็นอย่างน้อย แต่ก็ยังมีข้ออนุโลมให้ว่าสามารถใช้หลักฐานที่ไม่ใช่การสอบที่เป็นที่ยอมรับในรูปแบบต่างๆได้ โดยหลักฐานที่ใช้แทนได้ก็จะเป็นหลักฐานยืนยันการสมัครเรียน (Confirmation of Enrolment หรือที่เรียกกันว่า CoE) และผลการเรียนว่าเรียนจบที่นับระยะเวลาการเรียนได้ 5 ปีเป็นอย่างน้อย (ต้องเป็นการเรียนในออสเตรเลียที่มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นด้วยนะ) โดยไม่ได้เข้มงวดมากมายว่าต้องเป็นหลักสูตรอะไร

แต่จากการเปลี่ยนแปลงล่าสุด อิมมิเกรชั่นได้นิยามการใช้หลักฐานตัวนี้ขึ้นมาใหม่แล้วว่า จะใช้ผลการเรียน 5 ปีแทนการพิสูจน์ความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับ competent English ได้ก็ต่อเมื่อ "จะต้องเป็นหลักสูตรในระดับ post-secondary school courses undertaken at university level หรือเทียบเท่า tertiary/higher education studies เท่านั้น" ได้อ่านกันแบบนี้แล้วก็อย่าเพิ่งตีอกชกตัว ตีโพยตีพายไปว่า _ิบหายแล้วไง ต้องเรียนในมหาวิทยาลัยเท่านั้นถึงจะนำหลักฐานการเรียนมาใช้แทนได้...อิมมิเกรชั่นยังไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เนื่องจากได้มีการขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยามของหลักสูตรที่นำมาใช้ได้ก็จะพบว่า วุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่เขาได้ระบุไว้ก็คือ AQF 5 เทียบเท่า Diploma ยังสามารถใช้ได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม กลับมีการระบุเพิ่มเติมว่าไม่สามารถใช้วุฒิการเรียนในระดับ Certificate IV และ Diploma ที่เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนในหลักสูตรวิชาชีพได้ (Vocational Education and Training: VET) ขยายความเพิ่มเติมได้แบบนี้นะครับ คือ สมมติว่าถ้าลงเรียนเป็นแพคเกจ 3 ปี Certificate IV, Diploma, และ Advanced Diploma ระยะเวลาการเรียนที่นำมาใช้ได้ก็จะเป็นเฉพาะในระดับ Advanced Diploma 1 ปีเท่านั้นครับ หรือถ้าลงเป็น Certificate IV กับ Diploma ก็จะนับแค่คอร์สสุดท้ายที่ AQF 5 เพียงปีเดียวเท่านั้นอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าให้น้าแนะนำนะ สอบเถอะ ปลอดภัยสุด555

เกร็ดความรู้ประจำฉบับนี้!! หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าที่ไอ้น้าหนวดบอกว่า Competent English เนี่ยะ แล้วเอาเข้าจริงมันเทียบเท่ากับเท่าไหร่หล่ะ...ตรงนี้มีคำตอบครับ ความสามารถในระดับ Competent English อ้างอิงจาก website ของ Department of Home Affairs จะเทียบเท่าได้กับการสอบ IELTS ให้ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 6.0 ในทุกๆพาร์ทๆ!! อย่างไรก็ตาม คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าอิมมิเกรชั่นอนุญาตให้ใช้ผลการสอบในรูปแบบอื่นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น TOEFL, PTE, OET, แล้วก็ Cambridge เพราะฉะนั้นถ้าใครจะสันทัดในการสอบแบบอื่นที่ไม่ใช่ IELTS ก็ดูตามตารางแนบด้านล่างสำหรับคะแนนสอบในรูปแบบต่างๆได้เลยครับ



นอกจากนี้ ถ้าน้องๆได้สังเกตในรายละเอียดภาพประกอบในเรื่องของ English exemptions รวมถึงที่น้าได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ AQF...หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า AQF หรือ Australian Qualifications Framework ได้มีบทบาทสำคัญในวีซ่านักเรียน subclass 500 พอสมควรเลยทีเดียว เพราะในเงื่อนไขของวีซ่านักเรียน Condition 8202 - Meet Course Requirements จะมีอยู่ข้อนึงที่ระบุเกี่ยวกับ AQF ไว้ดังนี้

ก็คือ คนที่ถือวีซ่านักเรียนจะต้องคงสถานะของการเรียนของตัวเองให้ตรงหรือสูงกว่ากับระดับการเรียนที่ทำให้ไดัรับวีซ่านักเรียนมา ถ้าสมมติว่าวีซ่าผ่านมาด้วย CoE ของหลักสูตร Advanced Diploma แต่พอเรียนไปแล้วไม่ชอบ ต้องการจะย้ายโรงเรียนก็ควรจะสมัครเรียนให้ถึง Advanced Diploma ตามเดิม ไม่สามารถสมัครเรียนในระดับการเรียนที่ต่ำลงได้ กรณียกเว้น คือ การเปลี่ยนหลักสูตรจากปริญญาเอก AQF 10 ลงมาเป็นปริญญาโท AQF 9 เท่านั้นถึงจะไม่ต้องเปลี่ยนวีซ่านักเรียนให้ตรงกับหลักสูตรใหม่ที่ย้ายมาเรียนนะจ๊ะ ถ้าใครใคร่รู้ใคร่สงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AQF ก็ตามวาร์ปกันไปได้ที่ https://www.aqf.edu.au/aqf-levels ได้เลยนะครับ

แล้วก็ไหนๆก็พูดถึงเรื่องของเงื่อนไขของวีซ่านักเรียนขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆสำหรับน้องๆหนูๆทุกคนที่ควรจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยนะครับ อย่าพาตัวเองเข้าไปสู่ปัญหาโดยที่ไม่รูู้ตัว ถ้าทำผิดเงื่อนไขแล้วโดนจับได้ขึ้นมา ผลลัพธ์ก็ VISA CANCELLATION สถานเดียว นะครับ มันไม่มีใครตอบได้หรอกว่าเราจะดวงแตกโดนสุ่มตรวจหรือเปล่า หรือว่าจะโดนสุ่มตรวจเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดครับ ยังไงก็เข้าไปอ่านเงื่อนไขต่างๆของวีซ่านักเรียนกันไว้บ้างนะ #คิดซะว่าน้าสอนละกัน https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/already-have-a-visa/check-visa-details-and-conditions/see-your-visa-conditions?product=500#

ส่งท้ายบทความด้วยช่องทางการติดต่อของ CPSydney office เหมือนเดิม ถ้าสะดวกโทรก็ตามนี้เลยครับ +61 2 9267 8522 หรือถ้าชอบ chat ก็ทักกันมาได้ที่ Facebook page messenger www.facebook.com/cpsyd หรือที่ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้หมดถ้าสดชื่น...เราสามารถให้คำปรึกษาได้ทั้งในเรื่องของวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว และวีซ่าทักษะประเภทต่างๆเลยครับ

สุดท้ายก็ฝากกด LIKE หรือ FOLLOW เพจกันด้วยนะครับ จะได้ติดตามข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ และเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับวีซ่าออสเตรเลีย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและข่าวสารต่างๆในออสเตรเลียกันได้ครับ...สำหรับฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้านะจ๊ะ


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562

โควตา PR ของอาชีพต่างๆ และลิสต์อาชีพที่ยื่น PR ได้ในรัฐ NSW ด้วย State Sponsorship

หายหน้าหายตากันไป 1 เดือนเต็มเลยสำหรับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กลับมาเจอกันอีกทีก็เข้าสู่วสันตฤดูกันเป็นที่เรียบร้อยซะแล้ว อกอีแป้นจะแตก (ต้องยกมือทาบอกด้วยนะ555) เคลียร์กันเรื่อง "วสันตฤดู" กันก่อน เพราะน้าเชื่อว่าน่าจะมีหลายๆคนงงว่า ไอ้น้ามันเขียนอะไรของมัน_ะเนี่ยะ "วสันตฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ หรือว่า Spring" นะครับ ก็จะแบบเย็นๆอุ่นๆก่อนที่จะเข้าหน้าร้อน หรือ summer กันในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้เนอะ...พอเข้า Spring แล้วก็คงต้องเตือนให้รักษาสุขภาพกันหน่อยด้วยที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลที่มักจะมาพร้อมกับโรคยอดฮิตอย่าง Hay Fever ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ

จากฉบับเดือนกรกฎาคมที่ได้เขียนแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับค่าวีซ่าที่ปรับขึ้น น้าก็เชื่อแหล่ะว่าจนถึง ณ ตอนนี้ก็ยังต้องมีคนที่ยังไม่รู้ว่า Visa application fee ของวีซ่าประเภทต่างๆได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวยังไงก็ลองดูสรุปตารางด้านล่างที่แปะให้ได้ดูกันในฉบับนี้อีกทีก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาของเดือนกันยายนกันครับ


คราวนี้มาถึงเนื้อหาของฉบับนี้กันบ้างนะครับ โดยเราจะพาไปอัพเดทเกี่ยวกับโควตาในแต่ละอาชีพของ budget'19-20 (ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2019 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2020) ว่าแต่ละอาชีพนั้นมีโควตาในการยื่นขอ Permanent Residence (PR) ได้มากน้อยเพียงใด...อนึ่ง ทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันตรงนี้ก่อนว่า "เรากำลังจะพูดถึงลิสต์อาชีพที่เป็น MLTSSL สำหรับการยื่นขอ PR ด้วยทักษะความสามารถทางด้านต่างๆทั้งหมด" ยังไม่ได้ลงลึกไปถึงอาชีพที่ขาดแคลนเฉพาะเจาะจงในแต่ละรัฐนะ อันนี้คือลิสต์ที่เป็นภาพรวมทั้งหมดที่จะบอกว่าอาชีพนั้นๆมีโควตาในการขอ PR เป็นจำนวนเท่าไหร่ในตลอดระยะเวลาที่เหลือจนกว่าจะถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2020


อย่าเพิ่งตกอกตกใจว่ามีอาชีพที่ยื่น PR ได้แค่เพียง 10 กว่าอาชีพที่สรุปมาให้ในตารางด้านบนนะ ที่จริงมันมีเกือบร้อยๆอาชีพเลย ครั้นจะให้น้าเอามาขยำไว้ตรงนี้ให้หมดน้าก็ทำไม่ไหว แต่เดี๋ยวจะทิ้งลิงค์ให้ตามไปวาร์ปกันเอง รับรองว่าจะได้ดูกันตาแฉะแน่นอน เพราะลิงค์ตรงของ immigration website จะมีการอัพเดทให้เห็นด้วยว่ามีคนได้ PR ผ่านอาชีพต่างๆไปแล้วกี่คน...นอกจากตารางตัวอย่างด้านบน น้าก็ได้แบ่งกลุ่มอาชีพออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆที่สามารถยื่น PR ได้ไว้ตามนี้ด้วยครับ
  1. วิศวกร เป็นที่ทราบกันดีว่าวิศวกรนี่แยกย่อยออกเป็นได้หลายสาขามาก ไม่ว่าจะเป็นวิศวเคมี ไฟฟ้า เครื่องกล เหมืองแร่ อุตสาหาการ ฯลฯ ซึ่งน้าลองเอามาบวกรวมกันดูแล้วก็จะมีโควตาอยู่ที่มากกว่า 10,000 คน/ปี เลยทีเดียวสำหรับสายอาชีพวิศวกร
  2. นักวิทยาศาสตร์ นี่ก็เป็นอีกอาชีพที่มีหลายแขนงเหลือเกิน รวมกันก็ตกอยู่ที่ประมาณ 5,000 คน/ปี ที่สามารถขอ PR ได้ในกรณีที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์การเกษตร วิทยาศาสตร์การอาหาร ฯลฯ
  3. สายอาชีพทางด้านสุขภาพ (ยกเว้นนางพยาบาล) นี่ก็เป็นอีกสายอาชีพที่เปิดกว้างเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นนักกายภาพ หมอประเภทต่างๆ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์เองก็สามารถต่อยอดขอ PR ได้เช่นเดียวกัน
  4. สายช่าง (ยกเว้นช่างแม่ง555 #ขออภัยในความหยาบคาย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะไม่เล่นจริงๆ) ไล่มาเลยนานาจิปาถะ ไม่ว่าจะเป็นช่างเชื่อม ช่างไฟ ช่างทำกระจก ช่างทาสี ช่างแอร์ในตำนานก็ไม่เว้น แต่ ข้อเสียของอาชีพในสายช่างก็ คือ requirement ในเรื่องของวุฒิการศึกษา และ ประสบการณ์ทำงาน
https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/working-in-australia/skillselect/occupation-ceilings ส่วนใครที่อยากเข้าไปดูโควตาในแต่ละอาชีพทั้งหมด ก็วาร์ปตามลิงค์นี้กันได้เลยนะครับ

สุดท้ายของฉบับนี้ละ...อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าลิสต์ที่เราพูดถึงกันไป เป็นลิสต์ MLTSSL ของอาชีพที่ยื่น PR ได้ทั้งหมด ไม่ได้เจาะลงไปในการขอ PR ด้วยวีซ่าทักษะประเภทต่างๆ ซึ่งหลายๆคนเองก็จะรู้ว่าการยื่น PR ด้วยทักษะอาชีพเนี่ยะสามารถแยกย่อยออกได้หลากหลายวิธี...ฉะนั้นฉะนี้ ด้วยความที่รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายผลักดันให้มีการกระจายประชากรออกไปอยู่บริเวณรอบนอกหรือเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่ซิดนีย์และเมลเบิร์นด้วยการเอา PR มาเป็นตัวล่อ ทำให้หลายๆคนก็เริ่มพิจารณาถึงการย้ายไปอยู่รัฐอื่นๆที่ไม่ใช่ NSW เพื่อที่จะเอา PR ผ่านทางการสนับสนุนจากรัฐต่างๆ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า State Sponsorship (รัฐในที่นี้ คือ state นะครับ ไม่ใช่รัฐบาล) ภายใต้ Skilled Nominated (subclass 190) visa หรือ Skilled Regional (subclass 489) visa แต่ก็เข้าใจแหล่ะว่าต้องมีความกังวลเป็นธรรมดา คือมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ เหมือนการไปเริ่มต้นนับ 1 ใหม่หมดเลย ก็ไม่แปลกใจที่จะต้องเครียดเป็นธรรมดา บางคนอาจจะถึงกับต้องเอา_ีนขึ้นมาก่ายหน้าผากเลยด้วยมั้ง555

ซึ่งข่าวดีสำหรับคนที่ยังคิดไม่ตก  คือ ยังพอมีหนทางในการขอ PR ในรัฐ NSW อยู่นะ เพราะไม่นานมานี้ทางรัฐ NSW เพิ่งได้ออกมาประกาศให้ทราบถึงอาชีพที่ยังเป็นที่ต้องการของรัฐ NSW อยู่ ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายอาชีพเหมือนกันที่เป็นที่สนใจของน้องๆคนไทย รวมถึงอาชีพอื่นๆที่น้ามองว่ายังมีโอกาสที่เปิดกว้างอยู่ ตัวอย่างของอาชีพที่สามารถทำ PR ภายใต้ Skilled Nominated (subclass 190) visa ได้ ก็อาทิเช่น Café or Restaurant Manager, Hotel or Motel Manager, Accountant, Marketing Specialist, Graphic Designer, Baker, Pastry cook, Cook, Chef รวมถึงวิศวกรในสาขาต่างๆ ฯลฯ อันนี้เป็นแค่การยกตัวอย่างในบางอาชีพมาให้ดูเท่านั้นนะครับ ถ้าใครอยากรู้ว่ามีอาชีพไหนบ้างที่เป็นขาดแคลนใน NSW และสามารถทำ State Sponsorship ได้ ก็สามารถคลิกลิงค์นี้เพื่อเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยครับ https://www.industry.nsw.gov.au/live-and-work-in-nsw/visas-and-immigration/nsw-skilled-occupations-list ดูเสร็จแล้วจะนัดเข้ามาปรึกษาถึงความเป็นไปได้กับ Migration agent ของ CPSydney office ก่อนที่จะตัดสินว่าจะย้ายหรือไม่ย้าย ก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ

ก่อนจะจบบทความฉบับนี้ คิดว่าน่าจะต้องเขียนอธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับวีซ่า 190 และ 489 สักหน่อย...เอาแบบคร่าวๆนะ
  • Subclass 190 เป็นการขอ PR โดยการใช้ระบบนับแต้ม ที่จะต้องได้รับการสปอนเซอร์จากรัฐนั้นๆในทักษะอาชีพที่เป็นที่ต้องการของรัฐ (ได้แต้มเพิ่มจากรัฐ 5 คะแนน) เพราะฉะนั้นคนที่ยื่น PR ผ่านทาง subclass นี้จะต้องทำแต้มขั้นต่ำให้ได้ 60 คะแนน (ไม่รวมแต้มจากรัฐ) ถึงจะมีสิทธิ์ยื่นขอ PR ได้ https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/getting-a-visa/visa-listing/skilled-nominated-190
  • Subclass 489 อันนี้ยังไม่ใช่ PR นะ เป็นตัว temporary visa ที่ทำให้เราสามารถทำงานในออสเตรเลียได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (จะว่าไปก็คล้ายๆกับ 485 นั่นแหล่ะ) แต่ต้องเป็นในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนและได้รับการสปอนเซอร์จากรัฐนั้นๆเช่นเดียวกับตัว 190 โดยใช้ระบบนับแต้มเหมือนกัน หลังจากนั้นถึงจะยื่นขอ PR ได้ในภายหลัง https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/getting-a-visa/visa-listing/skilled-regional-provisional-489
อันที่จริง หนทางของการขอ PR มันก็มีทางหนีทีไล่หรือมีทางให้ไปของมันเองอยู่แหล่ะ เพียงแค่ต้องคิดให้ดีและปฏิบัติตามเงื่อนไขของเขา ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกครับ อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้นแหล่ะว่าจะยอมทำตามเงื่อนไขของการขอ PR ที่เขาได้กำหนดไว้หรือเปล่า...อะไรที่มันเป็นของเรามันก็จะเป็นของเราครับ


สำหรับช่องทางการติดต่อของ CPSydney office ก็ตามนี้เลยครับ +61 2 9267 8522 หรือจะทักแชทผ่านทาง Facebook page www.facebook.com/cpsyd หรือที่ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้...เราสามารถให้คำปรึกษาได้ทั้งในเรื่องของวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว และวีซ่าทักษะประเภทต่างๆเลยครับ

ยังไงก็ฝากกด LIKE หรือ FOLLOW เพจ เพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับวีซ่าออสเตรเลีย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและข่าวต่างๆในออสเตรเลียกันได้ที่ Facebook page ของ CPSydney office กันด้วยนะครับ...ฉบับนี้มีแนะนำสถาบันให้อ่านด้วยนะครับ



MyFutureMyCP: Universal English College!!

ส่งท้ายบทความฉบับนี้ด้วย MyFutureMyCP แนะนำสถาบันอีกครั้งครับ โดยฉบับนี้จะมีการแนะนำสถาบันเป็นฉบับสุดท้ายแล้วด้วย ซึ่งคราวนี้จะเป็นคิวโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษกันบ้าง รอบนี้น่าจะตอบโจทย์ใครหลายๆคน เพราะเกือบจะ 100% ของคนไทยที่มาเรียนที่นี่ก็เริ่มจากการเรียนภาษาอังกฤษก่อนทั้งนั้น

โดยโรงเรียนภาษาที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ก็จัดว่าเป็นเต้ยของสถาบันสอนภาษาอังกฤษในซิดนีย์เลยทีเดียว ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ถือว่าคุ้มค่าและเหมาะแก่การเลือกเรียนของหลานๆอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ อายุของโรงเรียน Risk rating ของโรงเรียน หรือแม้กระทั่งสนนราคาค่าเรียนต่อสัปดาห์ ที่นับได้ว่าถูกมากๆสำหรับโรงเรียนเกรดพรีเมี่ยมขนาดนี้ โรงเรียนที่เราจะพูดถึงในฉบับนี้ก็คือ Universal English College (UEC) นั่นเองครับ


หลายๆคนอาจจะคุ้นหรืออาจจะไม่คุ้นกับโรงเรียนนี้นะครับ แต่เชื่อหรือไม่ว่า UEC เนี่ยะ จัดว่าเป็นหนึ่งในสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆในซิดนีย์เลยนะ โดยได้เริ่มก่อตั้งและเริ่มเปิดสอนภาษาอังกฤษในออสเตรเลียมาตั้งแต่ปี 1988 นับตอนนี้ก็ 31 ปีมาแล้วที่ UEC ยังสามารถยืนหยัดอยู่อุตสาหกรรมการศึกษาของออสเตรเลียได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง คือ ต้องบอกเลยว่าถ้าใครอยากมาเรียนภาษาอังกฤษแล้วได้อะไรกับไปจริงๆ ที่นี่แหล่ะที่ตอบโจทย์มากๆ

อย่างแรก ที่บอกไปในเรื่องของราคาค่าเรียนต่อสัปดาห์ก่อนเลย...ใช่แหล่ะ โรงเรียนนี้ไม่ได้มีสนนราคาค่าเรียนที่ถูกขนาดนั้น แต่ถ้าเทียบกับสถาบันน้ำดีที่ทำให้เราน้ำเดินในระดับเดียวกันแล้ว น้าก็บอกได้เลยว่าของที่ UEC อ่ะ ถูกที่สุด ณ ตอนนี้แล้วครับ (ขยายความนิยามของโรงเรียนในระดับเดียวกันซักหน่อย ในกรณีนี้น้าหมายถึงโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนที่ได้คุณภาพจริงๆ และเป็นโรงเรียนที่เป็น Level 1 เท่านั้นนะ)

อย่างที่สอง ความเป็นสถาบัน Level 1 ของโรงเรียนนี้...เรื่องการแบ่ง Level หลายๆคนคงทราบแล้วเหมือนกันว่า อิมมิเกรชั่นเขาแบ่งระดับของโรงเรียนออกเป็น 3 ระดับ (เลขน้อยคือดี เลขมากคือแย่) ซึ่งเจ้ากรรมประเทศไทยของเราดันถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของประเทศเลเวล 3 ที่มีความเสี่ยงสูงสุดในการทำวีซ่านักเรียน คงไม่ต้องให้น้าอธิบายนะว่าเพราะอะไร ความงามหน้ายิ่งไปกว่านั้นคือเราเป็นเพียงประเทศเดียวใน South East Asia ที่เป็นเลเวล 3 อีกด้วย (อัพเดทล่าสุด 9 กันยายน 2019 นะครับ)

แล้วเป็นสถาบัน Level 1 มันดียังไง? คือ อิมฯเขาแบ่งแบบนี้เพื่อเป็นการสกรีนเบื้องต้น ซึ่งมันก็แน่นอนแหล่ะว่าเลเวลของโรงเรียนมันต้องมีผลต่อการประเมินวีซ่านักเรียนอย่างแน่นอน สถาบันการศึกษาทั่วออสเตรเลียมีเป็นร้อยเป็นพัน อิมฯคงไม่ว่างมานั่งแบ่งให้ตัวเองปวดหัวเล่นๆหรอก...เอาง่ายๆนะครับ เฉพาะในซิดนีย์เนี่ยะ มีโรงเรียนภาษาเป็นร้อยได้มั้ง แต่ ณ ตอนนี้มีไม่ถึง 10 สถาบันด้วยซ้ำที่เป็น Level 1 หนำซ้ำนักเรียนที่ยื่นวีซ่านักเรียนด้วยเอกสารการเรียนของ UEC ผ่านทาง CPSydney office ของเรา ต่างก็ได้รับข่าว 100% เต็มกันทั้งนั้นอีกด้วย


อย่างสุดท้าย เรื่องค่าเรียน กับ เรื่องเลเวลของโรงเรียน กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยนะครับ ถ้าเทียบกับเรื่องสุดท้ายที่ว่าด้วยคุณภาพของสถาบัน...อย่างที่บอกไปว่า UEC เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเก่าแก่อันดับต้นๆในซิดนีย์ ความเก่าแก่ของสถาบันก็คงบ่งบอกถึงคุณภาพของสถาบันได้ประมาณหนึ่ง แต่เหตุผลที่น้าเชื่อในคุณภาพของที่นี่จริงๆก็เพราะว่า Universal English College ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสถาบันการศึกษาอื่นๆในออสเตรเลียด้วยกันเอง จนสามารถเป็น Study Pathways ให้กับสถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆในออสเตรเลียได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถาบันที่สอนในหลักสูตรปริญญาหรือหลักสูตรวิชาชีพ อาทิเช่น
  • Macquarie University
  • University of Wollongong
  • Western Sydney University
  • Southern Cross University
  • TAFE NSW
  • William Angliss Institute
  • Le Cordon Bleu
  • The Hotel School
  • International College of Management Sydney


อีกปัจจัยเล็กๆที่ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าปัจจัย 3 ข้อข้างต้นเลยก็คือ สภาพแวดล้อมการเรียน และการเอาใจใส่ของ Student Services Team ของโรงเรียน คือโรงเรียนเขาไม่ได้จะเอาแต่สอน สอน แล้วก็สอนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะ เขายังส่งเสริมให้มีกิจกรรมต่างๆทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Job Club, International Day, Local Walks, Pathway Providers Campus Tour, Sports Activities ฯลฯ

เพราะฉะนั้นหากหลานๆคนไหนที่กำลังมองหาโรงเรียนภาษาชั้นนำในซิดนีย์อยู่หล่ะก็ น้านี่ภูมิใจเสนอ Universal English College (UEC) ไว้ให้ลองรับพิจารณาไว้ในอ้อมใจกันดูจริงๆนะครับ เรียนแล้วได้ประโยชน์แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีแผนจะเรียนต่อในหลักสูตรปริญญาหรือหลักสูตรวิชาชีพกับสถาบันชั้นนำอื่นๆในออสเตรเลีย

สำหรับฉบับนี้ก็จะประมาณนี้แหล่ะครับ ยังไงใครที่คิดว่าจะยื่น PR ด้วยวีซ่าทักษะประเภทต่างๆ ก็ลองเริ่มจากการดูลิสต์อาชีพตามลิงค์ที่แปะไว้ให้กันดูละกันนะครับ น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สุด ลองดูอาชีพที่มันทำ PR ได้ แล้วมองตัวเองว่าเราจะโอเคไหมที่ต้องเรียนในสาขานั้นๆ รวมถึงอาจจะต้องทำงานในสายงานนั้นๆจนกว่าจะได้ PR อีกด้วย...ชีวิตมันไม่ง่ายหรอก ถ้าเราได้อะไรมาง่ายๆ เราก็จะไม่เห็นคุณค่าของมันครับ สำหรับฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้านะจ๊ะ


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อะไรบ้างที่เริ่มบังคับใช้แล้วตั้งแต่ Financial Year 2019-2020 ที่ผ่านมา!!!

สวัสดีจร้าาา พี่จ๋าาา...จากฉบับที่แล้วที่ลุงได้เขียนแจ้งเตือนเกี่ยวกับค่าวีซ่าที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่าน ตอนนี้ก็ประกาศอย่างเป็นทางการ grand opening ออกมากันแล้วนะครับว่าขึ้นเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็ขึ้นเกิน 5.4% จากราคาเดิมกันเกือบทุกวีซ่าอีกด้วย #คุณหลอกดาววว ซึ่งในฉบับที่แล้วที่ได้มีแปะตารางไว้ให้ดูเนี่ยะ เป็นแค่การคำนวณตามอัตราที่แจ้งว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยตัวลุงเอง อาจจะทำให้ตัวเลขที่ทำออกมาไม่ได้ตรงกับเวอร์ชั่นล่าสุดของอิมฯ เดี๋ยวฉบับนี้น้าขอแก้ตัวด้วยการเอาตารางที่น้าทำมาแปะให้ใหม่อีกรอบโดยคราวนี้อ้างอิงมาจาก https://www.homeaffairs.gov.au/ โดยตรงเลย แต่ ตารางที่ทำสรุปมาให้จะเป็นแค่วีซ่าบางตัวที่น้องๆคนไทยนิยมทำกันเท่านั้นนะครับ ไม่ได้สรุปมาให้ทุกประเภทของวีซ่าออสเตรเลียทั้งหมดที่มี ถ้าหากมีวีซ่าตัวไหนที่สนใจแล้วไม่ได้อยู่ในตารางด้านล่างก็สามารถวาร์ปกันไปเองตามลิงค์ที่แปะไว้ให้ได้เลยนะจ๊ะ https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/getting-a-visa/fees-and-charges/overview


แล้วก็อันนี้ต้องบอกก่อนด้วยว่า ราคาในตารางนี้เนี่ยะยังไม่ได้เป็นราคาสุทธิของ visa application นะ เพราะปกติเวลาทำจ่าย มันจะเป็นแบบ online card payment ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้มี credit card surcharge ด้วย เฉลี่ยๆมาตรฐานจะอยู่ที่ 1.4% ขึ้นอยู่กับบัตรที่ใช้ในการทำจ่าย แต่ปกติของออฟฟิศน้าจะคิดที่เรทนี้ในการคำนวณค่าวีซ่าให้ลูกค้าครับ...นอกจากนี้ในบางวีซ่า ถ้าต่อวีซ่าในออสเตรเลีบตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไปก็จะมีค่า Subsequent temporary application charge อีก A$700 ไม่รวม credit card surcharge อีกด้วย

นอกจากเรื่องค่าวีซ่าที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมาแล้ว มันก็จะยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆที่ได้มีประกาศกันออกมาก่อนหน้านี้ให้ได้ผ่านตากันมาบ้าง จนบางคนอาจจะลืมไปแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมาแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวในฉบับนี้น้าจะมาสรุปให้ได้อ่านกันว่ามีอะไรบ้างที่เริ่มมีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
  • Immigration Cap Lowered
อันนี้คือ ที่มีข่าวออกมาว่าตั้งแต่ Financial Year 2019 - 2020 โดยเริ่มจาก 1 กรกฎาคม 2019 เป็นต้นไป เป็นเวลา 4 ปี จำนวนโควตาการอนุมัติ PR ต่อปีจะถูกปรับลดลงเหลือแค่เพียง 160,000 คนเท่านั้น โดยโควตา PR ผ่านทางวีซ่าทักษะต่างๆจะอยู่ที่ 108,682 คน/ปี และอีก 51,318 คนจะได้รับ PR ผ่านทางวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆครับ 
  • New Parent Visa
เรื่องนี้ก็น่าจะคุ้นๆกันอยู่บ้างกับวีซ่าพ่อแม่ตัวใหม่ Sponsored Parent Temporary Visa (subclass 870) ที่สามารถทำให้พ่อแม่ได้วีซ่าชั่วคราวนานถึง 3 ปี โดยที่ไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศออสเตรเลียทุกๆ 3 เดือนครับ โดยที่มีประกาศออกมาก่อนหน้านี้ว่าบังคับใช้ตั้งแต่ 17 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา วันที่บังคับใช้ดังกล่าวหมายถึงวันที่สามารถเริ่มยื่นได้เท่านั้นนะครับ แต่เริ่มพิจารณาวีซ่าตัวนี้จริงๆก็วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาเองนั่นแหล่ะ แล้วก็อย่าลืมนะครับว่าโควตาสำหรับวีซ่าพ่อแม่ตัวนี้จะอนุมัติแค่เพียง 15,000 คน/ปี เท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครที่คิดว่าจะสมัครก็คงจะต้องรีบกันหน่อยแหล่ะ

ยังไงก็วาร์ปไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าตัวนี้กันได้ที่ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/04/17-2019-parent-visa.html นะครับ จะได้เตรียมตัวกันได้เสียแต่เนิ่นๆ
  • Citizenship Changes Abandoned
อันนี้น่าจะเป็นข่าวดีสุดของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ #ยั่วๆบดๆไปเลยจร้าพี่จ๋าาา หลังจากที่ปล่อยให้มหากาพย์คาราคาซังมานาน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปกันซักทีนะครับสำหรับเงื่อนไขการยื่นขอสัญชาติออสเตรเลีย...ณ ตอนนี้ ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเงื่อนไขของการขอสัญชาติออสเตรเลียจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คือ "ถือ PR 1 ปี และ มีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐาน" เพราะฉะนั้นตอนนี้ใครที่สามารถยื่นขอสัญชาติออสเตรเลียได้แล้วก็ทำกันเสียตอนนี้เลยครับ  อย่ามัวแต่พิรี้พิไร นวยนาดกันอยู่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกรอบแล้วจะวุ่นวาย

จนถึง ณ ตอนนี้นะครับ การเปลี่ยนแปลงด้านบนทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ยังจะมีการเปลี่ยนอีก 2 อย่างที่น่าสนใจมากที่กำลังจะเกิดขึ้นในสิ้นปีที่จะถึงนี้ ก็คือในเรื่องของวีซ่าท้องถิ่นภูมิภาคตัวใหม่ กับ การนับแต้มยื่นขอ PR ด้วยตัวเองแบบใหม่ นะครับ...ถ้าหากใครอยากอ่านรายละเอียดคร่าวๆเพิ่มเติมก็ตามกันไปที่ลิงค์ที่แปะไว้ให้กันตรงนี้ได้เลยครับ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/05/new-regional-visas-new-point-test-system.html ถ้ามีข้อมูลอะไรอัพเดทเพิ่มเติม เดี๋ยวน้าจะมาเขียนเล่าให้ฟังอีกทีนึงครับ

ทิ้งท้ายบทความหลักฉบับนี้ด้วยช่องทางการติดต่อของ CPSydney office กันเหมือนเดิม...ก็สามารถติดต่อกันมาได้ที่ +61 2 9267 8522 หรือจะทักแชทผ่านทาง Facebook page www.facebook.com/cpsyd หรือที่ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้นะครับ เราสามารถให้คำปรึกษาได้ทั้งในเรื่องของวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว และวีซ่าทักษะต่างๆเลยครับ

ปล1. อย่าลืม LIKE เพจเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ Facebook page ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney



MyFutureMyCP: Macquarie University...หนึ่งในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของออสเตรเลียที่ไม่ควรมองข้าม!!

กลับมาพูดคุยแนะนำสถาบันภายใต้คอลัมน์ MyFutureMyCP กันอย่างต่อเนื่องครับ โดยในฉบับนี้เราจะมาแนะนำให้น้องๆได้รู้จักกับมหา'ลัยชั้นนำของออสเตรเลียอย่าง Macquarie University (MQ) กันดูบ้าง


เอาจริงๆแล้วเนี่ย น้าก็เชื่อแหล่ะว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะรู้จักมหาวิทยาลัยนี้กันอยู่แล้ว เพราะนอกจาก 8 มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย MQ เขาก็ถือว่าเป็นเต้ย หรือเป็นอีกมหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับต้นๆของน้องๆนักเรียนชาวไทยเช่นเดียวกัน อาจจะไม่ได้เก่าแก่เก๋าพรรษาเหมือนมหา'ลัยในกลุ่มของ Group of Eight แต่อายุอานามของ MQ ก็ไม่ได้น้อยอย่างที่คิด ปาเข้าไป 55 ขวบแล้วเหมือนกันนะ แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า หลักสูตรทางด้านธุรกิจต่างๆของทาง MQ เนี่ยะ ค่อนข้างขึ้นชื่อและเป็นที่ยอมรับในวงกว้างทั้งในระดับประเทศและระดับโลกอีกด้วย

เพื่อเป็นการฉลองอายุครบ 55 ปีของทางมหาวิทยาลัย MQ ก็มีแนวคิดใหม่ที่เชื่อในพลังที่แฝงอยู่ในตัวของนักเรียนทุกคนที่เมื่อนำมารวมร่างกับแรงผลักดันหรือการสนับสนุนที่ถูกต้องจากมหาวิทยาลัย มันก็จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้ จึงเป็นที่มาของ concept ต้อนรับปีหมูทองประจำปี 2019 ที่ว่า

"That's You to the power of us."

โดยแรงผลักดันหรือแรงสนับสนุนที่ทางมหาวิทยาลัยเชื่อว่าจะสามารถช่วยพัฒนาและดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาได้ก็คือองค์ประกอบที่ดีต่างๆของทางมหาวิทยาลัยนั่นเองครับ ซึ่งองค์ประกอบที่ว่าก็จะประกอบไปด้วย
  • Macquarie University North Ryde Campus
    • A Culture of Collaboration - worldwide จริงๆสำหรับคำนี้ ไม่ได้นิยมกันแต่ในหมู่ยูทูปเบอร์นะครับ เดี๋ยวนี้ใครๆเขาก็ "คอลแลป" กันทั้งนั้น...อย่าง MQ นี่เขาก็ไปคอลแลปกับทาง Macquarie Park Innovation District (MIPD) ที่เป็นศูนย์รวมทางด้านนวัตกรรมอันดับต้นๆของออสเตรเลียที่อุดุมไปด้วยบริษัทชั้นนำต่างๆจากทั่วโลก ซึ่งการเข้าร่วม หรือ การคอลแลปที่ว่าของทางมหา'ลัยก็ทำให้นักเรียนของทาง MQ มีโอกาสไปเข้าร่วมในโครงการต่างๆได้ เปรียบเสมือนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา
    • Campus Innovation Hub & Build Your Networks - เดี๋ยวนี้จะหางาน หรือทำธุรกิจก็ต้องมี NETWORK หรือ CONNECTION กันทั้งนั้น #ขนาดนาฬิกายังต้องยืมเพื่อนมาใส่เลย ด้วยความที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในโซนของ MIPD มันก็ทำให้มหา'ลัยกลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมหรือ innovation hub ไปโดยปริยาย ทำให้นักเรียนของทางมหา'ลัยได้มีโอกาสในการสร้าง network หรือ connection ของตัวเองจากการร่วมโครงการต่างๆระหว่างมหา'ลัยกับบริษัทชั้นนำต่างๆกว่า 300 แห่งที่รายล้อมอยู่รอบๆมหาวิทยาลัย อาทิเช่น Deloitte, Huawei, Hyundai, Microsoft, National Australia Bank ฯลฯ
  • Unique Courses including both Double degrees and 1 Year Master degree
เรื่องคุณภาพและความหลากหลายของหลักสูตรก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของการเลือกเข้าศึกษาต่อ ซึ่งข้อนี้ทางมหาวิทยาลัยก็ตอบสนองความต้องการของนักเรียนได้เป็นอย่างดี เพราะมีหลักสูตรให้เลือกเรียนมากถึงเกือบ 500 หลักสูตรทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ซึ่งก็อาจจะดูไม่ได้แตกต่างอะไรจากมหาวิทยาลัยอื่นๆซักเท่าไหร่นัก แต่ ข้อแตกต่างที่โดดเด่นของ MQ จะอยู่ที่การมีหลักสูตร Double degrees ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทให้เลือกเรียนเกือบ 100 หลักสูตรด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรในระดับปริญญาโทระยะสั้นที่สามารถเรียนจบภายใน 1 ปีอีกมากกว่า 40 หลักสูตรให้เลือกเรียนอีกด้วย...เพราะฉะนั้นในเรื่องของหลักสูตรที่เปิดสอน น้องๆจะสอบถามเข้ามากับทางออฟฟิศของน้าก็ได้นะครับ หรือถ้าใครพอมีเวลาก็สามารถเข้าไปคุ้ยหากันได้เองที่ลิงค์นี้เลยครับ https://www.mq.edu.au/study/find-a-course
  • Scholarships Opportunities

อันนี้ดีสุด บอกได้เลยว่าพีคในพีค ที่สุดของแจ้เลยตอนนี้ก็ว่าได้...คือตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยเขามีทุนให้เปล่าสำหรับน้องๆที่เลือกศึกษาต่อกับทางมหาวิทยาลัยมูลค่า A$10,000/ปี อยู่ด้วยโดยที่ไม่ต้องสมัครทุนต่างหากเลย แค่สมัครเรียนก็สามารถรับทุนการศึกษาตัวนี้ได้ แค่ต้องเริ่มเรียนกับทางมหาวิทยาลัยภายในปี 2020 เท่านั้นเองครับ สามารถเข้าไปดูเงื่อนไขของทุนการศึกษา ASEAN Scholarship ที่น้าบอกกันได้ที่ https://www.mq.edu.au/study/international-students/staging/details/macquarie-university-asean-regional-scholarship
  • English Language Centre (ELC) & Macquarie University International College (MUIC)
เป็นเรื่องปกติที่มหาวิทยาลัยจะมีสถาบันลูกของตัวเองเพื่อสอนในหลักสูตรปรับพื้นฐาน หรือคอร์สภาษาอังกฤษเพื่อปรับระดับความสามารถทางภาษาของนักเรียนให้ meet requirement ของทางมหาวิทยาลัย ซึ่ง MQ ก็มีแยกย่อยออกมาทั้งโรงเรียนภาษา ELC และสถาบันปรับพื้นฐาน MUIC ที่สอนพวก Diploma, Standard Foundation, และ Intensive Program ไว้ให้สำหรับน้องๆในกรณีที่ยังไม่ meet English requirement หรือ Academic requirement ของทางมหาวิทยาลัย นอกจากนี้การเรียนในหลักสูตรปรับพื้นฐานกับทาง MUIC จะทำให้น้องๆสามารถขอโอนหน่วยกิจร่นระยะเวลาการเรียนในระดับปริญญาตรีได้อีกด้วย หรือว่าถ้าใครอยากจะเรียนในสถาบันที่มีคุณภาพโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการโอนหน่วยกิจในอนาคตก็สามารถเลือกภาษาอังกฤษและหลักสูตรปรับพื้นฐานของที่ ELC และ MUIC ตามลำดับได้เลยนะครับ
นอกจากนี้ พิเศษสุดๆ สำหรับน้องๆที่เรียนภาษาอังกฤษกับทาง ELC แล้วมี package เรียนต่อกับทาง Macquarie University น้องๆจะได้รับส่วนลดค่าเรียนภาษาอังกฤษ 50% เป็นเวลา 4 สัปดาห์อีกด้วยนะครับ

สำหรับฉบับนี้น้าก็มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังแค่เพียงเท่านี้แหล่ะครับ หลักๆที่คิดว่าทำได้ก็ควรจะรีบทำก็คงจะเป็นวีซ่าพ่อแม่ตัวใหม่ที่ได้บอกไปแล้วว่ามีโควตาแค่เพียง 15,000 คน/ปี เท่านั้นนะครับ แล้วก็ที่ สำคัญสุดๆ คือคนที่สามารถยื่นขอสัญชาติออสเตรเลียได้แล้ว ก็แนะนำกันตรงนี้อีกทีว่ายื่นได้แล้วก็ยื่นไปเลยเถอะครับ อันนี้ตอบไม่ได้จริงๆว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในภายหลังอีกรึเปล่า #เดี๋ยวจะหาว่าน้าไม่เตือน สำหรับฉบับนี้น้าคงต้องขอตัวลาไปก่อน ไว้เจอกันใหม่ฉบับหน้านะครับ


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขึ้นก่อนไม่รอละนะ Visa Application Fee Increase และเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์กับ No Further Stay Condition!!

กลับมาเจอกันเร็วหน่อยนะจ๊ะเด็กๆ สำหรับบทความในรอบนี้ของน้าหนวด...ก็ฉบับที่แล้วได้เขียนเกี่ยวกับ Designated Area Migration Agreement (DAMA) ที่เป็นข่าวดีสำหรับโอกาสในการยื่นขอ PR ไป (ตามวาร์ปไปย้อนอ่านกันตามอัธยาศัยกันได้ที่ https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/06/pr-designated-area-migration-agreement.html นะจ๊ะ) มาในฉบับนี้ก็เป็นคิวของข่าวร้ายกันบ้างละแหล่ะ แล้วก็รวมถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอยากจะมาแจ้งเตือนในฉบับนี้ให้ได้อ่านกันครับ

รวบรัดฉับไวตามหัวข้อที่จั่วไว้เลย คือ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ "ค่าวีซ่าประกาศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ" ก็เท่านั้นเอ๊งงง เอาเข้าจริงแล้วถ้าได้อ่าน VisaTalk by CPSydney หรือติดตาม Facebook Page https://www.facebook.com/cpsyd/ ของเราเป็นประจำ การขึ้นค่าวีซ่าในรอบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นะ เพราะเราได้มีทั้งโพสต์และเขียนเกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ในฉบับของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา https://visatalkbycpsydney.blogspot.com/2019/05/tourist-visa-pr-regional-areas.html จะมีแค่อาจจะเซอร์ไพรส์นิดหน่อยด้วยความที่ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นราคาจริงๆตามที่เป็นข่าวแค่นั่นแหล่ะ แต่ตอนนี้ฟันธงคอนเฟิร์มแล้วนะครับว่า "เพิ่มแน่นอน" ไม่ต้องห่วง555 จากการประกาศในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว โดยจะให้ราคาใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2019 นี้เป็นต้นไปครับ แต่ในความโชคร้ายนี้ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่นิดๆก็คือ
  1. ค่า Visa application fee สำหรับวีซ่าท่องเที่ยว subclass 600 ยังอยู่ที่ราคาเดิม
  2. Visa application fee ที่ถูกปรับขึ้นทั้งหมด จะเพิ่มขึ้นแค่เพียง 5.4% จากราคาเดิมเท่านั้น
น้าได้ลองทำสรุปคร่าวๆสำหรับค่าวีซ่าราคาใหม่ที่จะเริ่มใช้ในสัปดาห์นี้มาให้ได้ดูกัน ก็จะเอามาเฉพาะวีซ่าที่คนไทยอย่างเรายื่นกันอยู่บ่อยๆเท่านั้นนะครับ แต่ถ้าขาดวีซ่าตัวไหนไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ไว้ด้วยนะจ๊ะ อันนี้แค่สรุปมาให้จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ และที่สำคัญเตรียมเงินกันได้ถูก สำหรับคนที่ไม่สามารถยื่นวีซ่าได้ทันภายในเวลา 23.59 น. ของวันที่ 30 มิถุนายนที่จะถึงนี้
**อนึ่ง ราคาที่สรุปมานี้แค่การคำนวณคร่าวๆจากเรทเดิมที่แจ้งว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้น 5.4% นะจ๊ะหลานๆ อาจจะมีคลาดเคลื่อน หรือผิดพลาดไปบ้าง...เดี๋ยวคงต้องรอประกาศยืนยันในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้อีกทีนึงนะครับ
จากตารางที่ทำสรุปมาให้ หนักสุดก็คงจะหนีไม่พ้น Partner visa นั่นแหล่ะ ถึงแม้จะขึ้นราคาแค่เพียง 5.4% แต่ด้วยราคาต้นทุนที่มีราคาสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ทำให้ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมีราคาสูงไปด้วย เช่นเดียวกันกับตัว General Skilled Migration ประเภทต่างๆก็มีราคาสูงขึ้นพอสมควรอันเนื่องมาจากราคาวีซ่าเรทเดิมที่มีราคาสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

จบเรื่องแรกที่ตรงนี้...ไปต่อเรื่องที่ 2 กันเลย!!

ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเหมือนกัน ก็คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ประมาณสัปดาห์ที่แล้ว หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของเราได้รับการติดต่อมาจากน้องคนนึง ขอให้นาสมมติว่า "น้องตุ้ม" ละกัน โดยน้องได้สอบถามเข้ามากับทางเราว่า "สามารถทำอะไรได้บ้างไหม ในกรณที่เพิ่งมารู้เอาวันสุดท้ายว่าวีซ่านักเรียนของตัวเองติดเงื่อนไข No Further Stay"

ตอบชัดๆ ตัวโตๆ ตรงนี้ว่า ... "ไม่ได้ครับ"

มาขยายความต่อตรงนี้ คือ ถ้าติดเงื่อนไข NO FURTHER STAY ไม่ว่าจะเป็นในวีซ่านักเรียน (condition 8534) หรือวีซ่าท่องเที่ยว (condition 8503) ก็ต้องกลับไปยังประเทศตัวเองแล้วค่อยยื่นวีซ่ามาใหม่สถานเดียวในกรณีที่ยังต้องการจะยื่นวีซ่ากลับมาที่ออสเตรเลียอีก แต่ทว่า บางคนอาจจะเคยได้ยินว่าสามารถขอยกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ได้...ใช่ จริงครับ อันนี้ไม่เถียง...งงป่ะ555 คือ ถ้าจะขอยกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ได้อ่ะ มันต้องเป็นเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ แบบว่าคอขาดบาดตายสุดๆ ถึงจะขอได้ ซึ่งมันมีโอกาสน้อยมากถึงน้อยที่สุดที่จะขอยกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ได้ แล้วก็ร้อยทั้งร้อยแหล่ะที่เหตุผลยังไม่เพียงพอที่จะให้เขายกเลิกเงื่อนไขตัวนี้ อีกอย่างคือการขอยกเลิกเนี่ยะ มันต้องทำล่วงหน้า ไม่ใช่มาทำเอาวันสุดท้าย มันไม่เหมือนการยื่นวีซ่าในออสเตรเลียที่หลังจากยื่นปุ๊บ เราจะได้ Ackonwledgement Letter และ Briding Visa A มาจากอิมมิเกรชั่นโดยอัตโนมัติ

วนกลับเข้าเรื่องของน้องตุ้มกันต่อ...คือ น้องได้วีซ่านักเรียนมาตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่วีซ่านักเรียนตัวปัจจุบัน subclass 500 ยังไม่ได้เริ่มใช้ ทำให้น้องมีเงื่อนไข 8534 ห้อยท้ายมาด้วย (ในปัจจุบัน ถ้าใครถือวีซ่านักเรียน subclass 500 ก็ไม่ต้องกังวลกันสักเท่าไหร่ เพราะเงื่อนไข 8534 ไม่ได้มีในวีซ่านักเรียนอีกต่อไปแล้ว...แต่เอาจริงๆนะ เหมือนก็ยังจะมีหลุดมาบางเคสที่ติดเงื่อนไขนี้มาอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเอาให้ชัวร์ ก็เช็คหน้าวีซ่าตัวเองทุกครั้งนะครับว่ามีเงื่อนไขนี้อยู่ในวีซ่านักเรียนของตัวเองรึเปล่า) ซึ่งน้องก็ใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งในวันที่ 7 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมา น้องก็ได้รับข่าวไม่ดีจากทางเอเจนท์ G (นามสมมติ) ของน้องว่า ไม่สามารถยื่นวีซ่าให้น้องได้ เพราะมันเป็น invalid application ก็เลยถึงบางอ้อกันว่า "อ๋อ น้องตุ้มมีเงื่อนไข 8534 อ่ะค่ะ" คราวนี้ปฏิบัติตามล่าหาความจริงของน้องตุ้มก็ได้อุบัติขึ้น แล้วก็ทำให้น้องได้ค้นพบความจริงว่า ที่จริงเอเจนท์ G ได้พยายามยื่นวีซ่าให้น้องตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาและก็ทราบว่ามันเป็น invalid application ตั้งแต่วันนั้น รวมถึงอีกประเด็นที่น้าเองก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า ทำไมน้องตุ้มไปตรวจสุขภาพได้ในวันที่ 3 มิถุนายนโดยที่ไม่มีใบ eMedical แนบไป แต่น้าก็ไม่ได้ถามต่อในประเด็นนี้ แค่มีบอกน้องตุ้มไปว่ามันแปลก เพราะปกติจะต้องมีเอกสารตัวนี้แนบไปด้วยทุกครั้งถึงจะตรวจสุขภาพได้

อ่าววว แล้วทีนี้ยังไงต่อ...น้องตุ้มก็เลยติดต่อเราเข้ามาว่าสามารถทำอะไรบ้างไหม ซึ่งก็ตามที่อธิบายไปข้างต้นเนอะ ในกรณีนี้ไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ เราก็ได้แต่แนะนำให้น้องเดินทางกลับภายใน 28 วันหลังจากที่วีซ่าหมด "ทำไมต้องภายใน 28 วัน?" คือ ถ้ากลับภายใน 28 วัน น้องตุ้มจะไม่ถูกแบน 3 ปีจากการทำผิดเงื่อนไขของวีซ่า 8534 ครับ แต่ถ้าเลย 28 วันไปแม้แต่วันเดียวปุ๊บ ก็จะโดนแบน 3 ปีอีกด้วย เรียกได้ว่า #พังในพังยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน้องตุ้มจะค่อนข้างรับฟังในคำแนะนำนี้ ไม่เลือกที่จะเป็นผีแต่อย่างใด แต่ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายน้องตุ้มตัดสินใจไปยังไงเหมือนกันนะ เพราะหลังจากที่ได้คุยกับน้องมาเกือบอาทิตย์นึงก็ยังไม่ได้ถามน้องเหมือนกันว่าสุดท้ายน้องตัดสินยังไง...ได้อัพเดทกันล่าสุดแค่ว่า เอเจนท์ G แนะนำให้น้องยื่นวีซ่าลี้ภัย (อีกแล้ว) น้าหล่ะอยากจะบ้ากับคำแนะนำห่วยๆแบบนี้จริงๆเลย ให้ตายดิ้น เดชะบุญที่น้องตุ้มตัดสินใจที่จะไม่ทำวีซ่าตัวนี้ รวมถึงต้องการจะดำเนินเรื่องลาออกจากโรงเรียนที่ได้สมัครไปก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการแจ้งจากโรงเรียนว่า ยังไม่ได้เอกสารใดๆจากทางเอเจนท์ G ของน้องตุ้ม น้าก็หวังว่าน้องตุ้มจะได้รับข่าวดีเร็วๆนี้นะ

คือที่มาเขียนให้อ่านกันวันนี้ คือ ต้องการที่จะเตือนให้เป็นอุทาหรณ์นะ ไม่ได้จะมานั่งเทียนเขียนโจมตีเอเจนท์สมมติของน้องแต่อย่างใด...ใช่ จริงอยู่ว่ากรณีนี้มันก็เป็นความผิดพลาดของเอเจนท์ G ด้วย ที่ไม่ได้เช็คเงื่อนไขของวีซ่าน้อง แล้วบอกน้องตุ้มตั้งแต่เนิ่นๆ แต่กลับกัน น้าก็ได้บอกกับน้องตุ้มเหมือนกันว่าอีกส่วนหนึ่งมันก็คือความรับผิดชอบของเราเช่นเดียวกัน เพราะเอกสารมันเป็นชื่อของน้องเอง ไม่ใช่ชื่อเอเจนท์ จริงอยู่ว่าน้องให้เอเจนท์ช่วยดำเนินการ น้าถึงบอกไงครับว่ามันก็เป็นความผิดพลาดของเอเจนท์ด้วย และก็ไม่ได้มีเจตนาจะซ้ำเติมน้องแต่อย่างใดที่แนะนำไปอย่างนั้นที่ว่าส่วนหนึ่งมันต้องเป็นความรับผิดชอบของตัวน้องเอง อิมมิเกรชั่นเขาไม่ได้สนใจหรอกว่าน้องเป็นผู้ถูกกระทำในกรณีนี้ (ถึงแม้ว่ามันจะจริง) แต่อย่างที่บอกไปว่าเอกสารมันเป็นชื่อน้อง คงจะมาขอความเห็นใจจากอิมฯในกรณีนี้ก็คงจะยาก






อีกอย่างที่น้าไม่ชอบเอามากๆเลยก็คือ การที่เอเจนท์ G แนะนำให้น้องยื่นขอวีซ่าลี้ภัย ถามว่าผิดไหมที่แนะนำแบบนี้ ถ้าให้ตอบในแง่วิชาชีพ ก็หาข้อถูกไม่เจออ่ะ รู้อยู่แก่ใจกันอยู่แล้วยื่นไปยังไงก็ไม่ผ่าน ได้แค่ซื้อเวลา เพราะวีซ่าลี้ภัยยังจะสามารถยื่นในประเทศออสเตรเลียได้ ถึงแม้ว่าจะติดเงื่อนไข NO FURTHER STAY ก็ตาม (อันนี้น่าจะเป็นจุดเดียวที่หาข้อถูกให้ได้) แต่ถ้าถามถึงผลลัพธ์ ก็ขอไม่พูดละกันเนอะ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากมายอยู่แล้ว เอาเป็นว่าถ้าตัวคนที่ตัดสินใจยื่น ทราบถึงผลลัพธ์เป็นอย่างดีโดยละเอียดถ่องแท้ก่อนที่จะยื่น แล้วรับได้ มันก็ win-win แหล่ะ แต่ถ้าโดนหลอกให้ยื่นอันนี้ก็อีกเรื่องนึง...นิดนึงก่อนจบละ คือ วีซ่าลี้ภัย มันสำหรับคนที่ไม่สามารถกลับไปประเทศของตัวเองได้ ตัวอย่างก็เคสของฮาคีมที่ไปติดคุกที่บ้านเรามาหมาดๆ หรือว่าในประเทศนั้นๆกำลังมีปัญหาร้ายแรงทางการเมืองอยู่ ย้ำนะว่าปัญหาร้ายแรงทางการเมือง ไม่ใช่ภัยธรรมชาตินะโว้ยยย ซึ่งเราต่างก็รู้กันดีว่าตอนนี้ประเทศไทยบ้านเรามันยังไม่ได้หนักหรือร้ายแรงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางได้วีซ่าตัวนี้มาถาวรอยู่แล้ว ถึงแม้ระหว่างรอผลจะมีประโยชน์ต่างๆล่อตาล่อใจอยู่มากมาย แต่ลองคิดดูนะว่าถ้าวันนึงประเทศเรากลายเป็นประเทศที่ต้องลี้ภัยขึ้นมาจริงๆ วันนั้นหลานๆผู้อ่านทั้งหลายจะดีใจหรือเสียใจ

ก็หวังว่าบทความในฉบับนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้หลายๆคนได้บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งในเรื่องของเงื่อนไข NO FURTHER STAY และก็ค่าวีซ่าที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้... จริงๆ จุดประสงค์หลักของฉบับนี้คือจะมาแจ้งเตือนเรื่องค่าวีซ่านะ555 แต่ timing มันได้พอดีที่เราได้รับการติดต่อเข้ามาของน้องตุ้ม เลยได้หยิบยกตัวอย่างเคสของน้องมาให้ได้อ่านกัน ก็จะได้เอาเป็นข้อมูลในการพิจารณาเลือกใช้เอเจนท์ด้วย

จบสวยๆด้วยช่องทางการติดต่อของ CPSydney office กันเหมือนเดิม...สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับ Migration agent ของ CPSydney office ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษได้เลยที่ +61 2 9267 8522 หรือต่อให้จะไม่มีปัญหาอะไร แต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อโทรเข้ามาสอบถามกันได้ที่เบอร์เดียวกันนี้เหมือนกันนะ ถ้าเป็นสาย social ก็ทักกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้ สะดวกติดต่อทางไหนก็เลือกเอาทางนั้น ตามใจชอบ

ปล. อย่าลืม LIKE เพจเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ Facebook page ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตของที่ดีของทุกคนในระยะยาว CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วีซ่าทักษะ วีซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวประเภทต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere


#น้าหนวด