วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

CPSydney เปลี่ยนผีให้เป็นคนได้ จริงๆนะ!!!

ฮัลโหลลล น้าหนวดกลับมาแล้วครับทุกโคนนน!! ต้องกราบขออภัยจริงๆที่ไม่ได้แวะมาเขียนบทความให้อ่านกันสำหรับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พอดีน้าติดภารกิจนิดหน่อยครับ ยังไงน้าขอไถ่โทษด้วยการเอาบทความของเดือนที่แล้วที่เป็น online version จากทางหนังสือพิมพ์ ThaiPress มาแปะให้อ่าน แล้วก็จะเขียนเนื้อหาบทความของเดือนนี้ให้อ่านกันด้วยเลย จะได้เหมือนเป็น 2 in 1 ไปเลยละกันสำหรับฉบับประจำเดือนธันวาคมนี้

ลิงค์บทความของเดือนที่แล้วนะครับ "เมาแล้วขับ ไม่ใช่แค่จำหรือปรับ...แต่โดนยกเลิกวีซ่าได้เลยนะคะ" http://thaipress.com.au/thaipress457_cp.html

ไปกันต่อไม่รอละนะ สำหรับบทความประจำเดือนธันวาคมนี้กันเลย...ขอเริ่มต้นด้วยประกาศวันหยุดในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ที่จะถึงนี้ก่อนเลยนะครับ โดย CPSydney office จะหยุดตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2018 จนถึง วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2019 และจะกลับมาให้บริการอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2019 ครับ เพราะฉะนั้นหากน้องๆเพื่อนๆคนไหนอยากจะปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของเราในเรื่องวีซ่าหรือคอร์สเรียนต่างๆก็ติดต่อมาก่อนที่เราจะหยุดช่วงปีใหม่จะเป็นการดีที่สุดนะครับ แต่ถ้าน้องๆคนไหนมีความจำเป็นที่จะต้องการขอคำปรึกษาจริงๆในเรื่องคอร์สเรียนและวีซ่านักเรียนในช่วงที่ออฟฟิศของเราหยุดทำการอยู่นั้น ก็ลองโทรมาหาน้าหนวดได้นะครับที่เบอร์โทร 0422 289 189 สำหรับน้องๆที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเคสของตัวเองอยู่แล้วก็ลองเช็คกับเจ้าหน้าที่ของตัวเองโดยตรงดูนะครับว่าสามารถติดต่อช่วงหยุดปีใหม่ได้หรือเปล่า

มาเข้าเรื่องของหัวข้อในฉบับนี้กันดีกว่า โดยกรณีศึกษาของบทความในวันนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกค้าชาวอินโดนีเซียของเราเองครับ งั้นนามสมมติก็เอาง่ายๆเรียกว่า "คุณโต้ง" ละกัน...ย้อนกลับไปประมาณช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จัสติน migration agent ประจำ CPSydney office ของเราก็ได้รับข่าวดีจากอิมมิเกรชั่นว่า Partner Visa (subclass 820) application ของคุณโต้งได้ผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ต้องรอผลของวีซ่ามายาวนานกว่าเกือบ 2 ปี สร้างความปิติยินดีให้กับคุณโต้งเป็นอย่างมากจนคุณโต้งเองก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะคุณโต้งไม่ได้บินกลับไปเยี่ยมหาคุณพ่อคุณแม่ที่อินโดนีเซียมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

เอาจริงๆ อ่านกันดูผิวเผินก็ดูไม่มีอะไร ก็แค่ Partner Visa อีกเคสที่ผ่าน แต่ มีใครใคร่รู้ใคร่สงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมคุณโต้งถึงไม่สามารถบินกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่อินโดนีเซียได้ ทั้งๆที่กำลังรอผลของวีซ่าอยู่ ปกติก็ต้องสามารถขอ Bridging Visa B (BVB) บินออกนอกประเทศได้ตามปกติสิ...เอาแบบเข้าเป้าตรงประเด็นกันเลยละกันคือว่า "คุณโต้งแกเป็นผี ไม่มีวีซ่า" ซึ่งก่อนที่แกจะเป็นผีแกก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหล่ะครับ แต่แกมาด้วยวีซ่าทำงานในฐานะแม่บ้านของข้าราชการในกงสุลหรือสถานทูต (Domestic Worker (temporary) Diplomatic and Consular visa) ซึ่งเมื่อคุณโต้งได้เริ่มทำงานก็พบว่าตัวเองถูกโกงค่าแรงซะอย่างนั้น และเมื่อทนไม่ไหวก็ต้องหนีออกมาในที่สุด จนสุดท้ายก็ยอมแพ้ในโชคชะตาปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นผีไม่มีวีซ่า เดชะบุญสวรรค์เป็นใจทำให้ได้มาพบกับแฟนชาวออสเตรเลียได้ครองรักกัน และทำ Partner Visa ในที่สุด...มาลงกันต่อในรายละเอียด ย้อนกลับไป 2 ปีก่อนหน้านี้หรืออาจจะมากกว่านั้น เป็นครั้งแรกที่ทาง CPSydney office ของเราได้รู้จักกับคุณโต้งและแฟน โดยทั้งคู่มีความประสงค์ที่จะให้เราเป็นคนทำเคส Partner Visa ให้ และได้แบไต๋บอกเราอย่างหมดเปลือกตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องถามว่าแกเป็นผีไม่มีวีซ่า ซึ่งหลังจากที่จัสตินได้คุยกับคุณโต้งและแฟนในเรื่องของเอกสารและได้ทราบเหตุผลที่ทั้งสองต้องการจะทำเรื่อง Partner Visa ในขณะที่คุณโต้งยังอยู่ในออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เริ่มต้นเก็บเอกสารและทำเคสกันทันที

ขอวนมาอธิบายในเรื่องของเหตุผลที่คุณโต้งยังสามารถยื่น Partner Visa (subclass 820) ในขณะที่ยังอยู่ในออสเตรเลียได้ซักหน่อย คือ ตั้งแต่กลางปี 2014 เป็นต้นมา ทางอิมมิเกรชั่นได้ออกข้อกฏหมายใหม่เกี่ยวกับการยื่น Partner Visa (subclass 820) ในออสเตรเลียที่เรียกว่า Schedule 3 ในเรื่องของ Criteria 3004 ที่ระบุว่า "ผู้สมัครสามารถยื่น Partner Visa (subclass 820) ในออสเตรเลียได้ภายใน 28 วัน หลังจากที่วีซ่าตัวปัจจุบันสิ้นสุดลง แต่จะต้องมีการเขียนจดหมายอธิบายเหตุผลประกอบที่จะขอยื่นวีซ่าในออสเตรเลียแทนที่จะต้องยื่นวีซ่าในขณะที่ตัวผู้สมัครอยู่นอกประเทศออสเตรเลีย" ซึ่งอิมมิเกรชั่นก็จะอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ของ Criteria 3004 เป็นหลักก่อนที่จะให้วีซ่ากับผู้ที่สมัครวีซ่าตัวนี้เข้ามานั่นเอง ซึ่งถึงแม้ว่า ในกรณีของคุณโต้งจะยื่น Partner Visa (subclass 820) application หลังจากที่วีซ่าตัวเก่าสิ้นสุดลงไปเป็นเวลามากกว่า 28 วันก็ตาม ทางอิมมิเกรชั่นก็ไม่ได้ใจร้ายหูดับไม่ฟังเหตุผลแต่อย่างใด เพราะในกรณีนี้ทั้งตัวสปอนเซอร์และผู้สมัครก็ยังจะสามารถเขียน compelling reasons อธิบายเหตุผลที่ไม่สามารถยื่นวีซ่าได้ในระยะเวลาที่กำหนดเป็นหลักฐานประกอบได้ครับ โดยเหตุผลต่างๆก็จะต้องเป็นเหตุผลที่อยู่เหนือความควบคุมจนส่งผลให้ไม่สามารถเดินทางออกประเทศและยื่นวีซ่าในระยะเวลาที่กำหนดได้ อาทิเช่น ท้องแก่ใกล้คลอดหรือมีบุคคลในครอบครัวป่วยหนักต้องดูแล (อันนี้ดักคอไว้ก่อนเลยหน่ะ ไม่ต้องทำเป็นหัวหมอปล่อยตัวให้ท้องโดยเอาเหตุผลที่เราเป็นแหล่งอ้างอิงนะครับ แต่ละเคสมันจะมีรายละเอียดและความเป็นมาที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นมันจะต้องดูหลายๆปัจจัยประกอบกันครับ)

จากการเปลี่ยนแปลงข้างต้นที่ได้แจ้งไป ทำให้หลายๆคนไม่กล้าเสี่ยงที่จะยื่นวีซ่าเข้าไปในขณะที่ยังอยู่ในออสเตรเลีย เพราะไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอในการโน้มน้าวให้อิมมิเกรชั่นเชื่อได้นั่นเอง ซึ่งก็จะนำมาสู่การปฏิเสธวีซ่าในผลลัพธ์สุดท้ายนั่นเองครับ ละก็ต้องยื่นใหม่ เสียเงินค่าวีซาอีกรอบ สบายตัวกันไปอีก รู้ๆกันอยู่ว่าโดนค่า application กันไปทีนึงก็เล่นเอากระเป๋าแห้งได้เหมือนกัน555

กลับมาที่เคสของคุณโต้งกันต่อ...หลังจากที่จัสตินได้พูดคุยกับคุณโต้งและแฟนที่เป็นสปอนเซอร์เรียบร้อยแล้ว ก็เชื่อว่า compelling reasons ของทั้งคู่นั้นหนักแน่นเพียงพอที่โน้มน้าวขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นได้ จึงเริ่มดำเนินการเก็บเอกสารและทำเคสให้กับทั้งคู่โดยทันที โดยเหตุผลหลักๆที่ใช้เป็น compelling reasons ก็คือ
  • คุณแม่ของสปอนเซอร์ล้มป่วย จำเป็นต้องพึ่งพาให้คุณโต้งดูแลในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน...ทั้งคู่จึงกังวลว่าจะไม่มีคนดูแลคุณแม่ถ้าคุณโต้งต้องออกนอกประเทศไปยื่น Partner Visa กลับเข้ามา
  • แฟนหรือสปอนเซอร์ของคุณโต้งมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงที่คบกัน จนไม่สามารถทำงานหรือนั่งนานๆได้ โดยมีเอกสารใบรับรองแพทย์และหลักฐานที่ได้รับเงิน support จาก Centrelink แนบประกอบยืนยันการป่วยของแฟนคุณโต้ง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่แฟนของคุณโต้งป่วยอยู่นั้น ก็ได้คุณโต้งนี่แหล่ะที่เป็นคนคอยดูแลทุกอย่าง ดังนั้นถ้าคุณโต้งต้องออกนอกประเทศอย่างไม่มีกำหนดกลับก็อาจจะส่งผลกระทบต่ออาการป่วยและจิตใจของแฟนคุณโต้งได้
เดชะบุญ สวรรค์เป็นใจ...หลังจากที่ยื่นเคสเข้าไปเป็นเวลากว่า 2 ปี ในที่สุดคุณโต้งและแฟนก็ได้รับข่าวดีดั่งที่เราได้แจ้งไปในข้างต้น และตอนนี้ก็ยังคงไว้วางใจให้ CPSydney office เป็นผู้ดูแลเคส จัดการในเรื่องของการขอ PR ในลำดับต่อไปครับ

เพิ่มเติมเกร็ดความรู้กันอีกสักหน่อย เผื่อใครยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไมหนอทำไมคุณโต้งถึงบินกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของตัวเองที่อินโดนีเซียไม่ได้...เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณโต้งนั้นเป็นผี ไม่มีวีซ่า แต่ก็โชคดี ไม่ได้ถูกอิมมิเกรชั่นจับได้ภายใน 45 วันตั้งแต่เป็นผีแต่อย่างใด ทำให้คุณโต้งได้รับ Bridging Visa C (BVC) หลังจากที่ยื่นวีซ่าคู่ครองเข้าไป ซึ่งตัว BVC เนี่ยะก็ไม่เหมือนกับ Bridging Visa A (BVA) ที่สามารถขอออกนอกประเทศเปลี่ยนเป็น Bridging Visa B (BVB) ได้ในกรณีที่ต้องการขอออกนอกประเทศในขณะที่ยังไม่รู้ผลของวีซ่าตัวใหม่ที่ยื่นเข้าไป นี่จึงเป็น้เหตุผลที่คุณโต้งไม่สามารถบินกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่อินโดนีเซียได้ในช่วงที่ถือ BVC รอผลของวีซ่าคู่ครองนั่นเองครับ

หยิบยกเคสตัวอย่างมาให้อ่านตั้งนานสองนาน น้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกชื่อแฟนของคุณโต้งเลยนี่หว่า แฟนของคุณโต้งมีชื่อว่า ทูพี ครับ!!!

และนี่ก็เป็นประวัติความเป็นมาของ Rapper หนุ่มชื่อดังของเมืองไทยในขณะนี้อย่าง โต้ง ทูพี นั่นเองงง ผ่าม พามมมม!!!

ไงหล่ะ ขำตัวโยนกันเลยอ่ะดิ555...ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกว่านี้ เคสนี้เป็นเคสจริงนะครับ ไม่ได้เอามาเขียนเพื่อเล่นตลกโปกฮาแต่อย่างใด โปรดอย่าเข้าใจน้าผิด คิดหักมุมว่าเคสนี้ไม่มีอยู่จริงหน่ะ


สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ CPSydney office ได้เลยนะครับ เรามี Migration agent ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องวีซ่าแต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษาของ CPSydney office ได้เลยที่ +61 2 9267-8522 หรือถ้าเป็นสาย social media ต่างๆก็จะทักทายกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้นะครับ

ปล. อย่าลืม LIKE เพจของเราเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้


แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

MyFutureMyCP: Torrens University Australia (TUA)

MyFutureMyCP ประจำปี 2018 นี่ก็ผ่านมาหลายฉบับแล้วเหมือนกันนะ เราก็ได้เขียนถึงทั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนที่สอนในระดับวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรทางด้านธุรกิจ การเลี้ยงเด็ก หรือแม้แต่พวกหลักสูตรการแสดง แต่มีสถาบันอยู่กลุ่มนึงที่น้าหนวดยังไม่เคยได้มีโอกาสเขียนให้ทุกๆคนได้อ่านกันเลยก็คือ "มหาวิทยาลัย" ซึ่งก็เหมือนดวงประจวบเหมาะ บุญพาวาสนาส่งตามคิวที่ได้แพลนไว้พอดี เพราะใน MyFutureMyCP 2018/7 ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้ น้าหนวดจะมาเล่าให้ฟังถึงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในออสเตรเลียให้น้องๆเพื่อนๆได้รู้จักกันดู เผื่อใครหลายๆคนกำลังพิจารณาเรื่องเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโทจะได้ลองพิจารณามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไว้ในอ้อมใจกันดูครับ

เอานะ เริ่มกันเลยละกันนน...เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังไม่คุ้นหูกับ "Torrens University Australia (TUA)" กันอย่างแน่นอน คืออันที่จริงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไม่ได้ถึงกับเพิ่งเปิดใหม่ Grand Opening กันแต่อย่างใดนะ เอาเข้าจริงก็มีอายุอานามประมาณ 20 ขวบปีกว่าๆ เห็นจะได้ละมั้งครับ แต่ก็ถือว่ายังจัดอยู่ในกลุ่มมหา'ลัยน้องเล็ก (Young University) หรือมหาวิทยาลัยที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี (อันนี้เป็นคำนิยามที่ใช้กันทั่วโลกในวงการการศึกษาเลยนะครับ น้าหนวดไม่ได้สถาปนาตั้งนิยามเองแต่อย่างใดนะจ๊ะ) มาว่ากันต่อในเรื่องของการเป็นน้องเล็ก หรือการที่มียังมีอายุไม่ถึง 50 ปีของมหาวิทยาลัย หลายๆคนอาจจะมองว่าเพิ่งเปิดมาไม่นานแล้วจะได้คุณภาพร่อออ เรื่องนี้หายห่วงได้เลยครับ เพราะมันจะเข้าทำนองที่ว่า "ผมไม่เล็ก" นะครับอย่างแน่นอน555 อย่างน้อย TUA ก็ได้รับการรับรองจากรัฐบาลออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน และยังได้รับความนิยมในการเข้าศึกษาต่อเป็นอย่างมากในเมือง Adelaide อีกด้วย ซึ่งเอากันจริงๆในเรื่องของความเก่าแก่เนี่ยะ มหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งในออสเตรเลียหรือแม้แต่ในซิดนีย์ก็ยังมีอายุไม่ถึง 50 ปีเหมือนกันนะ ถ้าเอ่ยชื่อมาอาจจะมีช็อคกันได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลมากกันเรื่องอายุ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของตัวเลขไป

ถึงแม้ว่า Torrens University Australia อาจจะยังไม่ได้เด่น ไม่ได้ดังหรือปังอะไรเบอร์นั้น รวมถึงอาจจะยังไม่ได้เก่าแก่เหมือนที่ใครหลายๆคนต้องการ แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีจุดเด่นเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองอยู่นะ จุดเด่นที่ว่าก็คือความเป็น Global Connections ของทางมหาวิทยาลัยนั่นเองครับ เพราะ Torrens University Australia นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ Laureate International Universities ที่มีสถาบันทางการศึกษาในด้านต่างๆมากกว่า 70 แห่งทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ รวมทั้งในเอเชียอย่างประเทศจีนและมาเลเซียก็มีนะครับ และที่ต้องร้อง อู้ววว ว้าววว อะเมซซิ่ง ก็คือในประเทศไทยดินแดนขวานทองของเราก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ทาง Laureate International Universities ได้ไปเปิดสถาบันไว้เหมือนกัน ซึ่งสถาบันที่ว่านั้นก็คือ Stamford International University นั่นเอง เพราะฉะนั้นก็มั่นใจในเรื่องของคุณภาพได้อย่างแน่นอนครับ ถ้าไม่เจ๋งจริงเขาคงไม่สามารถไปเปิดสถาบันหรือมหาวิทยาลัยต่างๆได้ทั่วโลกอย่างนี้หรอก ซึ่งนั่นก็ทำให้มหาวิทยาลัยมีภาพจำหรือจุดแข็งที่ชัดเจนมากๆในเรื่องของ "GLOBAL OPPORTUNITIES AND GLOBAL CONNECTIONS" ซี่งนับได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับการทำธุรกิจในปัจจุบัน

นอกจากนี้ อีกจุดแข็งของมหาวิทยาลัยก็คือ การนำความรู้ไปใช้ได้จริงให้สัมฤทธิ์ผลหลังจากที่สำเร็จการศึกษาไป ทำให้ทุกหลักสูตรของมหา'ลัยจึงเน้นไปที่การเพิ่มทักษะต่างๆในการทำงาน และการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ซึ่งจำนวนนักเรียนต่อหนึ่งคลาสก็จะจัดให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน...และจากที่ได้บอกไปว่าหลักสูตรของมหา'ลัยจะเน้นไปที่การนำไปใช้ได้จริง ทำให้เกือบแทบจะทุกหลักสูตรของ Torrens University Australia จะต้องมี Industry Placement Program (IPP) เป็นเหมือนวิชาบังคับที่นักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการประเมินจึงจะสำเร็จการศึกษาจากทางมหาวิทยาลัยไปได้ ตัวอย่างเช่น น้องๆจะสำเร็จการศึกษาในหลักสูตร Bachelor of Business ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการประเมินของ IPP ซึ่งมีเวลาของการฝึกงานทั้งหมด 400 ชั่วโมงด้วยกัน...อีกข้อดีที่เป็นมากกว่าประสบการณ์จากการฝึกงาน หรือ Industry Placement Program (IPP) ก็คือ น้องๆจะได้ connections จากที่ฝึกงาน จนอาจจะนำไปสู่การจ้างงานในอนาคตได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าน้องๆคนไหนกำลังมองหามหาวิทยาลัยสำหรับการเรียนต่อในระดับปริญญาไม่ว่าจะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทอยู่แล้วหล่ะก็ น้าหนวดอยากจะให้ลองพิจารณา Torrens University Australia ไว้ในอ้อมใจกันดูบ้าง เพราะนอกจากข้อดีหรือจุดแข็งที่เล่าให้ฟังไปทั้งหมดใน MyFutureMyCP 2018/7 ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้ เรื่องค่าสินสอดทองหมั้นหรือค่าเทอมก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดนะ ยิ่งตอนนี้เขาก็มีทุนการศึกษามากมายมอบให้กับน้องๆที่สนใจจะเรียนกับทางมหาวิทยาลัยภายในปี 2018 นี้อีกด้วย โดยเทอมสุดท้ายของ Torrens University Australia ก็จะเริ่มเรียนในวันที่ 12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้แล้วนะครับ ถ้ารวมช่วง late enrolment เข้าไปด้วยก็เต็มที่คือต้องเริ่มเรียนภายในเดือนพฤศจิกายนนั่นแหล่ะ ส่วนจะมีทุนการศึกษาในหลักสูตรไหนบ้างก็สามารถดูได้ตามภาพประกอบด้านล่างเลยนะครับ ถ้าสนใจในหลักสูตรไหนก็สามารถติดต่อเข้ามาที่ CPSydney office ให้เพื่อนร่วมงานของน้าหนวดจัดการสมัครเรียนให้ได้เลยนะครับ


















บอกได้เลยว่ามีทุนการศึกษามากมายให้คุณได้เลือกสรรกันจริงๆ ยังไงก็ติดต่อสอบถามกันมาได้นะครับที่ +61 2 9267 8522 หรือถ้าใครเป็นสายแชทก็สามารถส่งข้อความกริ๊งกร๊างมาหากันได้เลยที่ Facebook Page ของ CPSydney office ที่ https://www.facebook.com/cpsyd/ อ่อ อย่าลืมกดไลค์เพจ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการติดตามข่าวสารดีๆจากเราด้วยนะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney


#น้าหนวด


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้


วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แต่งงานกันมาเป็น สิบสิบ ปี ยังถูกปฏิเสธ partner visa ได้เลยครับ #เตือนแล้วนะ

ตกใจกับหัวข้อของเราในฉบับนี้ใช่ไหมครับว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงที่เคสแบบนี้จะถูกปฏิเสธ แต่งงานกันมาเป็น สิบสิบ ปีแล้วเชียวนะ...แต่ ปฏิเสธได้ เราก็สามารถช่วยแก้ไขจนทำให้ได้วีซ่ากลับมาเหมือนกันครับ

เดี๋ยวมาดูกันเลยว่าเคสนี้มีความเป็นมาอย่างไร และได้รับการแก้ไขอย่างไรจาก Migration agent ประจำ CPSydney office ถึงทำให้ได้รับการกลับคำตัดสิน และได้ PR มาครอบครองในที่สุด...บอกได้เลยว่า โชกโชนกันมาพอสมควรครับ โดยเคสตัวอย่างนี้เป็นกรณีศึกษาจากลูกค้าครอบครัวชาวจีนของ CPSydney office เราเองนี่แหล่ะ แต่อย่าได้เข้าใจผิดว่าเราทำเคสเขาพังแต่แรกนะครับ เพราะ Migration agent ของเราได้รับผิดชอบแค่ในส่วนที่ทำเรื่องอุทธรณ์ขอให้ AAT กลับคำตัดสิน และช่วยทำให้ได้ PR กลับมาเท่านั้นนะครับ ก่อนหน้านี้ครอบครัวชาวจีนครอบครัวนี้ได้ถูกปฏิเสธวีซ่ามาจากที่อื่น

TIME FRAME ความเป็นมาก่อนที่เคสจะตกมาถึงที่ CPSydney office ของเรา
  • พฤศจิกายน 2010 คุณภรรยา (รวมลูกสาวคนโต) ได้ยื่นวีซ่าติดตามคุณสามีเข้าไป ภายใต้วีซ่านายจ้างสปอนเซอร์ subclass 457
  • กรกฎาคม 2011 เอเจนท์เจ้ากรรมดันไปแนะนำให้คุณภรรยาถอน (withdraw) วีซ่าติดตาม 457 ที่ยื่นเข้าไปซะอย่างงั้น (อันนี้ทั้งคุณสามีและภรรยาก็จำไม่ได้ว่าเขาให้เหตุผลว่าอะไร) แล้วได้ยื่นวีซ่าติดตามคุณสามีอีกตัวเข้าไปให้แทน subclass 857 (ปัจจุบันนี้ไม่มีวีซ่าตัวแล้วนะครับ ไม่ต้องไปหาให้เสียเวลา555)
  • กุมภาพันธ์ 2012 วีซ่าติดตามคุณสามี subclass 857 ของคุณภรรยาถูกปฏิเสธ (refuse) แต่คุณสามีที่เป็น main applicant ได้วีซ่าผ่านเป็น PR ตามปกตินะครับ
  • พฤศจิกายน 2013 Migration Review Tribunal (MRT) หรือ AAT ในปัจจุบัน ยืนยันคำตัดสินที่อิมฯปฏิเสธวีซ่าติดตามสามี subclass 857 ของคุณภรรยา
  • พฤศจิกายน 2013 หลังจากที่คุณสามีได้ PR เป็นที่เรียบร้อย...ตัดภาพมาที่คุณภรรยาที่ถูกปฏิเสธแล้วปฏิเสธ เอเจนท์เจ้าเดิมก็ได้ยื่น Partner Visa subclass 820/801 ให้กับตัวคุณภรรยาพร้อมลูกสาวคนโตเข้าไปในช่วงปลายเดือนโดยมีตัวคุณสามีที่เพิ่งได้ PR เป็น sponsor
  • ตุลาคม 2016 เรียบร้อยโรงเรียนอิมมิเกรชั่นอีกรอบไปตามระเบียบ ถูกปฏิเสธ Partner Visa ด้วยเหตุผลสุด classic ที่อิมฯไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ที่มีลูกมาด้วยกันแล้ว 1 คนเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นความจริง โดยก่อนที่จะปฏิเสธเป็นผลลัพธ์สุดท้ายออกมา อิมฯได้มีการขอเอกสารเพิ่มเติม และสัมภาษณ์เพิ่มเติมเพื่อประกอบคำตัดสินของวีซ่าอีกด้วย
ตอนที่เคสตกมาถึงของ Migration agent ประจำ CPSydney office ของเรา ก็เล่นเอา Migration agent ของเราเสียหลักไปเหมือนกันนะ เพราะจากที่ฟังเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า "ถูกปฏิเสธมาได้อย่างไร" เชื่อหรือไม่ว่าที่อิมมิเกรชั่นปฏิเสธมาเนี่ยะ มันคือความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2002 และมีลูกด้วยกันถึง 2 คนอีกด้วย โดยลูกคนโตยังมีสถานะเป็น Temporary Residence (TR) เหมือนคุณแม่ (ภรรยา) เพราะว่านับเป็นผู้ติดตามพ่วงไปในใบสมัคร PR ของคุณพ่อ (สามี) ในตอนที่ได้ยื่นวีซ่า subclass 857 และ subclass 820/801 ที่ได้รับผลการปฏิเสธมาทั้งคู่...ส่วนสำหรับลูกคนเล็กที่เพิ่งเกิดในปี 2016 หลังจากที่ยื่น partner visa เข้าไปในปี 2013 ก็รอดตัวไป เพราะถือว่าได้สัญชาติ หรือเป็นคนออสเตรเลียโดยกำเนิดตามคุณพ่อที่ได้รับ PR ไปก่อนหน้านี้แล้ว

อนึ่ง สำหรับเคสนี้เป็นการบอก หรือเป็นอุทธาหรณ์สอนหญิงได้อย่างชัดเจนในเรื่องของการเตรียมเอกสารว่า "เราควรจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม" ต้องคิดเสมอว่าอิมมิเกรชั่นคือคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จักเราเป็นการส่วนตัว อย่าไปทึกทักเองหรือออกลูกประมาทว่า "ส่งๆเข้าไปก่อน เดี๋ยวมีอะไรเขาก็ขอเพิ่มเติมเอง" จริงอยู่ที่เคสนี้อิมฯก็ขอเอกสารเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ถ้าเราทำทุกอย่างให้พร้อม หรือปิดประตูแพ้แต่แรก มันก็น่าจะดีกว่าจริงไหมครับ พยายามทำให้มันปลอดภัยไว้ก่อน อย่าทำแบบ สุกเอาเผากิน แล้วพอมีปัญหามันก็อาจจะสายเกินแก้ เข้าข่าย "วัวหายล้อมคอก" แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ

อีกประการหนึ่งก็พูดได้เลยว่า เอเจนท์ที่ทำเรื่องให้สามีภรรยาคู่นี้ก็ออกลูกประมาท ชะล่าใจไปหน่อยเหมือนกัน...ทั้งๆที่ก็เป็นคนยื่นวีซ่าให้กับครอบครัวนี้จนถูกปฏิเสธมาทั้ง 2 วีซ่า ก็ควรจะรู้ว่า เอกสารทุกอย่างจะต้องพร้อมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวนี้ที่โดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็จะยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวด ไม่ใช่มองว่าเป็นการยื่นวีซ่าคนละประเภทเพียงอย่างเดียว แล้วแนบแค่เอกสารพื้นฐานเบื้องต้นเพราะเชื่อในความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ว่าเป็นความจริง ที่น้าพูดแบบนี้ก็เพราะหลังจากที่ Migration agent ที่ออฟฟิศได้สอบถามเคสเพิ่มเติมกับตัวคุณสามีและภรรยา ก็สืบทราบเพิ่มเติมมาได้ว่า เอเจนท์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้ขอเอกสารอะไรเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการยื่น partner visa เลย และแนบเอกสารประกอบเข้าไปแค่เพียง 5 ไฟล์เท่านั้นสำหรับการทำ partner visa ได้แก่

  1. ทะเบียนสมรสของทั้งคู่
  2. ใบเกิดของลูกคนโต
  3. เอกสารระบุที่อยู่ของทั้งคู่ โดยที่แนบไปตอนแรกมีเอกสารที่ระบุว่าอยู่ที่อยู่เดียวกันถึงแค่ปี 2011 และเป็นแค่เพียงสัญญาเช่าบ้านเท่านั้น ประเด็นนี้ที่น่าสนใจ คือ ควรจะมีจดหมายอื่นๆด้วย การมีสัญญาบ้านร่วมกัน ไม่ได้แปลว่าอยู่ด้วยกันจริงๆ ใช่หรือไม่
  4. บัตรประกันสุขภาพ
  5. จดหมายรับรองความสัมพันธ์จากพยาน 2 ท่าน สำหรับการทำ partner visa
คือนึกกันออกใช่ป่ะว่าสามีภรรยาคู่นี้ เขามีความสัมพันธ์กันมาเป็น 10 ปีแล้ว เอกสารมันควรจะมีมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่เคยโดนปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง...เอเจนท์ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน ส่งเอกสารประกอบเข้าไปเพียงแค่นี้ นี่ที่จริงแล้วเคสนี้ยังต้องถือว่า อิมฯใจดีแล้วด้วยซ้ำนะครับ ถึงได้ขอเอกสารเพิ่ม และมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ที่เคี่ยวๆ วีซ่าอาจจะปลิวไปแต่แรกโดยที่ไม่ขอเอกสารหรือข้อมูลมาประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมแล้วก็ได้ โดยเอกสารที่ทางเอเจนท์เดิมได้แนบเข้าไปเพิ่มเติมก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายเลย มีเพิ่มแค่อีก 4 อย่างเท่านั้นเอง ได้แก่
  1. ใบเกิดของลูกคนที่ 2
  2. บัญชีคู่ (Joint Bank Account) ที่ทั้งคู่เพิ่งไปเปิดตอนเดือนพฤษภาคม 2016 ประเด็นนี้ก็อีก คือ เอเจนท์ควรจะแนะนำให้ไปเปิดบัญชีคู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว ถึงแม้ทางสามีภรรยาคู่นี้จะให้เหตุผลว่าสามารถเข้าถึงบัญชีหลักที่เป็นชื่อคนเดียวได้ตลอด แต่การเปิดบัญชีคู่ไม่ว่าจะมีเงินในบัญชีจำนวนมากหรือน้อย สำหรับอิมมิเกรชั่นแล้วมันคือ Financial Commitment ของคน 2 คนที่มีร่วมกันครับ
  3. เอกสารระบุที่อยู่เพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน
  4. จดหมายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ (Joint Relationship Statement)
แต่อย่างที่ทราบผลลัพธ์กันอยู่แล้ว ในที่สุดคุณภรรยาก็ถูกปฏิเสธวีซ่ามาในวันที่ 19 ตุลาคม 2016 ด้วยเหตุผลที่อิมฯไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นความจริง ตามที่ได้บอกไปนั่นแหล่ะ โดยบรรทัดฐานที่อิมฯเขานำมาประกอบการพิจารณาหลักๆก็จะมี 4 ข้อด้วยกัน (อันนี้ย้ำว่า ข้อหลัก นะครับ มันยังต้องมีปัจจัยอื่นๆอีกด้วย)
  • Financial Aspects
  • Nature of Household
  • Social Aspects
  • Nature of the Person's Commitment to each other
หมายเหตุ Migration agent ของ CPSydney office ได้สอบถามเพิ่มเติมจากสามีภรรยาโดยตรง และตัวน้าหนวดเองก็ได้อ่าน Decision Record ที่ปฏิเสธ partner visa มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยสามารถนำข้อมูลมาเขียนให้ได้อ่านเป็นกรณีศึกษากันนะจ๊ะ แต่เราไม่สามารถเปิดเผยชื่อ หรือให้ดูเอกสาร Decision Record ทั้งหมดได้เนอะ แต่เดี๋ยวจะแนบใบปะหน้าที่ผ่าน AAT และได้รับการกลับคำตัดสินให้ดู รับประกันได้ว่า "ของจริง ไม่ได้เป็นเอกสารปลอมแน่นอน คริคริ"

หลังจากที่คุณภรรยา และลูกคนโตได้ถูกปฏิเสธวีซ่า...ทางตัวคุณสามีและภรรยาเองก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้ติดต่อและลองปรึกษากับ Justine (Migration agent ประจำ CPSydney office) ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยและฟังแนวทางแก้ไขจาก Justine ไป ทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจให้  CPSydney office เป็นคนดูแลเคสในส่วนของการอุทธรณ์กับ AAT และได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์เข้าไปในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งสิ่งที่เราได้ทำเป็นหลักๆเลยก็คือ การเขียน submission อธิบายแก้ต่างในประเด็นต่างๆที่อิมฯได้แย้งมา รวมถึงการเขียนอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่โดยละเอียด และร่าง timeline ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มเข้าไปให้ทางเจ้าหน้าที่ AAT ดู และแนบเอกสารเพิ่มเติม หรือเอกสารเดิมบางตัวที่จำเป็นเข้าไป อย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่ AAT กับเจ้าหน้าที่อิมฯ ก็เป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องแนบเอกสารเดิมเพื่อระบุความสัมพันธ์ที่เป็นความจริงของทั้งคู่เข้าไปด้วย

จนในที่สุด เจ้าหน้าที่ AAT ก็ได้เรียกให้ภรรยาและลูกคนโต พร้อมกับพยานอื่นๆเพิ่มเติม (ถ้ามี) ไปทำการ Hearing (การไต่สวนเพิ่มเติม เพื่อฟังคำตัดสิน) ในวันที่ 7 ธันวาคม 2017 ซึ่งผลลัพธ์ของการฟังคำตัดสินก็เป็นไปด้วยดี เพราะเจ้าหน้าที่เชื่อในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนได้ส่งผลการกลับคำตัดสินกลับไปหาอิมมิเกรชั่นในวันที่ 11 ธันวาคม 2017 ทำให้อิมฯ grant partner visa ให้กับภรรยาและลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน
นี่ก็เป็นกรณีศึกษาที่เราได้นำมาให้อ่านกันใน VisaTalk by CPSydney Online version ฉบับประจำเดือนตุลาคมนี้นะครับ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย...เอาจริงๆ เรื่องวีซ่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายๆคนคิด อยากให้ทุกคนใส่ใจกับวีซ่าของตัวเองกันบ้าง ถ้ามัวแต่ทำงานไม่สนใจอะไรเลย แม้กระทั่งเงื่อนไขของวีซ่า หรือได้รับคำแนะนำที่ผิดจากเอเจนท์ตัวแทนบางที่ ก็อาจจะนำพาให้ทุกท่านไปสู่ปัญหาได้นะครับ

สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าทักษะต่างๆ ก็สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ CPSydney office ได้เลยนะครับ เรามี Migration agent ที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องวีซ่าแต่สนใจอยากได้คำแนะแนวเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนต่างๆ ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษาของ CPSydney office ได้เลยที่ +61 2 9267-8522 หรือถ้าเป็นสาย social media ต่างๆก็จะทักทายกันมาที่ www.facebook.com/cpsyd หรือ LINE ID: cpsydney2 ก็ได้นะครับ
ปล. อย่าลืม LIKE เพจของเราเพื่อติดตามข้อมูลทุนการศึกษา โปรโมชั่นต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับออสเตรเลียกันที่ลิงค์ด้านบนกันได้นะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้


วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

MyFutureMyCP: รู้ยัง..ในซิดนีย์มีสถาบันสอนเกี่ยวกับการทำเบื้องหลัง การแสดง และคอร์สออกแบบต่างๆ ด้วยนะ!!!

เอากันตรงๆ แบบไม่ต้องอารัมภบทอะไรมากมายละกันสำหรับฉบับประจำเดือนกันยายนนี้...เราจะมาพูดถึงสถาบันที่สอนเกี่ยวกับการทำเบื้องหลัง การแสดง และการออกแบบต่างๆ ในซิดนีย์ โดยสถาบันดังกล่าวที่เรากำลังพูดถึงอยู่ในตอนนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่า "JMC Academy" นั่นเองนะจ๊ะ

น้องๆหลายๆคนอาจจะคุ้นกับชื่อเสียงเรียงนามของสถาบันแห่งนี้อยู่บ้าง หรือบางคนอาจจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ หรือบางคนอาจจะเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าในซิดนีย์นั้น มีสถาบันที่สอนในหลักสูตรที่เกี่ยวกับ Entertainment Industry อยู่ด้วย แต่นั่นไม่ใช่สาระหลักอะไรของบทความในฉบับนี้เลยครับ เอาเป็นว่าตอนนี้เราก็ได้รู้กันแล้วว่ามีสถาบันที่สอนเกี่ยวกับทางด้านนี้อยู่ หากน้องๆคนไหนสนใจ อยากจะพิจารณาสาขาการเรียนทางด้านนี้ไว้ในอ้อมใจ ก็ไปอ่านกันต่อกันอย่างรวดเร็วใน MyFutureMyCP 2018/6 ประจำเดือนกันยายนนี้ได้เลยครับ

ไปกันต่ออย่างรวดเร็ว...เชื่อหรือไม่ว่า JMC Academy เนี่ยะ เขาเปิดมานานกว่า 35 ปีแล้วทีเดียวเชียวแหล่ะ ไม่ใช่เป็นโรงเรียนที่เพิ่งเปิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการตามกระแสของเด็กๆที่เห่อหมออ้อย อยากเรียนการแสดง ทำเบื้องหลังในวงการบันเทิงแต่อย่างใด และด้วยความที่อยู่ยงคงกระพันด้วยหลักสูตรทางด้านอุตสาหกรรมความบันเทิงทั้งในหลักสูตรระดับวิชาชีพ และหลักสูตรระดับปริญญาตรีในระบบการศึกษาของประเทศออสเตรเลียมาอย่างยาวนาน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า JMC Academy จึงได้รับการยอมรับในวงกว้างทั้งในและนอกประเทศออสเตรเลีย

นอกจากนี้ที่ได้บอกไปว่า JMC Academy นั้น มีเปิดการเรียนการสอนอยู่ในซิดนีย์ แต่แท้จริงแล้วทางสถาบันยังมี campus อื่นๆให้น้องๆได้เลือกเรียนอีกด้วยนะครับ โดย campus อื่นๆ ที่น้องๆสามารถเลือกไปเรียนได้ก็จะเป็นที่ Melbourne และ Brisbane เพราะฉะนั้นก็จะเท่ากับว่าจะมีทั้งหมด 3 campuses ด้วยกัน และคงต้องขอแสดงความเสียใจกับน้องๆที่อยากจะไปเรียนที่เมืองอื่นใน ณ ที่นี่ด้วย ไม่มีให้เรียนจร้าาาา อดนะครับ สมน้ำหน้า #หยอกหยอกหยอก


มาลงในรายละเอียดกันต่อว่า ที่ JMC Academy เขามีสอนทั้งในหลักสูตรวิชาชีพ และปริญญาตรีนั้น เขามีทางด้านสาขาไหนบ้างให้เราได้เลือกเรียน
  • Audio Engineering
  • Music Performance
  • Songwriting
  • Digital Design
  • Game Design
  • Animation
  • Film and Television Production
  • Entertainment Business
ก็เรียกว่าได้มีสาขาให้เลือกเรียนกันค่อนข้างหลากหลายอยู่พอสมควรกับทั้ง 8 สาขาที่ทางสถาบันมีให้...นอกจากนี้ ข้อดีอีกอย่างของสถาบันที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือ การที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงกว้างทั้งในและนอกประเทศออสเตรเลีย ทำให้นักเรียน local ที่นี่ที่สนใจในอุตสาหกรรมวงการบันเทิงก็มักจะนึกถึง และเลือกเรียนที่สถาบันแห่งนี้เป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักเรียนต่างชาติอย่างเราๆ ที่จะได้มีเพื่อนเป็นเด็ก local จะได้ blend เข้าสังคมวัฒนธรรมของคนออสเตรเลียได้ง่ายขึ้น เผลอๆอาจจะนำไปสู่ CONNECTION หรือโอกาสดีๆของการทำงานในออสเตรเลียหลังจากเรียนจบอีกด้วย และจากการที่เป็นที่ยอมรับอย่างวงกว้างในระดับสากล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คณาจารย์ของสถาบันมักจะได้รับคำเชื้อเชิญจากหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนให้ไปเป็นวิทยากทั้งในและนอกประเทศออสเตรเลีย

และที่สำคัญที่สุด ที่ว่ากันด้วยของชื่อเสียงในระดับสากล JMC Academy เป็นเพียงสถาบันเดียวของออสเตรเลียที่ได้รับการยอมรับและจัดให้อยู่ในกลุ่มของ Berklee Global Partner ที่มีมาตรฐานการเรียนการสอนในหลักสูตร Music and Entertainment Management Programs อยู่ในระดับสากลที่นับได้ว่าเป็นอันดับต้น หรือเต้ยทางด้านนี้ของโลก ด้วยเหตุผลประการทั้งหมดในเรื่องของคุณภาพ และภาพจำที่ชัดเจนของทางสถาบัน ทำให้นักเรียนของ JMC Academy มักจะได้รับโอกาสหน้าที่การงานที่ดีจากองค์กรทางด้านอุตสาหกรรมความบันเทิงต่างๆทั่วโลก

ท้ายสุด สำหรับ JMC Academy ในฉบับเดือนกันยายนนี้...เรามีประสบการณ์ตรงของศิษย์เก่าอย่าง คุณเอย A&R Manager จาก Great Odyssey Records ของบริษัทในเครือ JSS Productions ที่เคยเรียนที่สถาบันแห่งนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ได้อ่านอีกด้วยนะครับ

“ผมเลือกเรียนที่ JMC Academy ในหลักสูตร Entertainment Business Management เป็นเวลา 3 ปีด้วยกัน หลังจากสำเร็จการศึกษาจากทางสถาบันก็ได้งานทำที่กรุงเทพฯ ในตำแหน่งของ A&R Manager ที่ Great Odyssey Records บริษัทในเครือของ JSS Productions ที่ทำเกี่ยวกับเครื่องเสียง และจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นการนำนักร้องเข้ามาจากต่างประเทศ หรือนักร้องในประเทศ โดยผมได้รับผิดชอบในส่วนของการดูแลค่ายเพลง จัดงาน event และจัดคอนเสิร์ต...สาเหตุที่เลือกเรียนที่นี่ ก็เพราะว่ามีความสนใจในเรื่องของดนตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเลือกเรียนกับสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรงอย่าง JMC แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะสถาบันแทบจะสอนทุกอย่างตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปถึงขั้น advanced เรียกได้ว่าเริ่มจากศูนย์เลยก็ว่าได้ และสอนแบบให้นักเรียนได้มีทางเลือกของตัวเองว่าตัวเองจะถนัดทางด้านไหนเป็นพิเศษที่จะสามารถต่อยอดให้กับตัวเองในอนาคตได้ นับได้ว่าเป็นสถาบันที่เหมาะกับคนที่ชอบสายงานทางด้าน creative และต้องการทำงานในอุตสาหกรรมนี้จริงๆ”

สุดท้ายแล้วจริงๆ สำหรับฉบับนี้...หากใครได้อ่านบทความฉบับนี้แล้วมีความสนใจใครรู้ อยากจะรู้จักสถาบันนี้เพิ่มเติม ก็สามารถ direct ด้วยตัวเองได้เลยที่ https://www.jmcacademy.edu.au/ หรือจะสอบถามเพิ่มเข้ามาที่ CPSdyney office ก็สามารถโทรมาหาเราได้ที่ +61 2 9267 8522 หรือจะทักแชทเข้ามาที่ CPSydney Facebook Page https://www.facebook.com/cpsyd/ ได้เลยนะครับ #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney


#น้าหนวด


วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

รัฐบาลใหม่ (ที่อาจจะ) ไฉไลกว่าเดิม และเงื่อนไขการทำงานของคนที่ติดตามวีซ่านักเรียน

มามามา...ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันให้เสียเวลาในฉบับประจำเดือนกันยายนนี้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าตอนนี้ออสเตรเลียได้ผลัดใบเข้าสู่รัฐบาลใหม่ภายใต้ผู้นำคนใหม่อย่างท่านนายกรัฐมนตรี Scott MORRISON เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ละก็ได้ประกาศคณะรัฐบาลใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกันตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (สามารถคลิกลิงค์นี้ เพื่อเข้าไปดูคณะรัฐบาลชุดใหม่ได้เลยค่ะ https://www.theguardian.com/australia-news/2018/aug/26/cabinet-reshuffle-full-list-of-scott-morrisons-new-ministry)

เอาจริงๆแล้ว ดูผิวเผินทั่วไปมันคงไม่มีอะไรที่คนไทยอย่างเราๆจะต้องใส่ใจอะไรมากหรอก แต่ ประเด็นความน่าสนใจมันอยู่ที่ตรงที่ท่านนายกรัฐมนตรี Scott MORRISON ได้ทำการโยกย้ายธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำวีซ่าต่างๆในออสเตรเลียออกมาจาก Department of Home Affairs (DHA) แล้วจับมาใส่อยู่ในขอบเขตการดูแลของ Department of Immigration, Citizenship, and Multicultural Affairs แทนหน่ะสิ

หลายๆคนอาจจะงงงวยสงสัยว่าแล้วไงอ่ะ เดี๋ยวน้าหนวดจะเท้าความให้ฟัง เอาเลยนะ...




ย้อนความกลับไปในสมัยของกรุงศรึอยุธยา อะปะติถุยยยย #หยอกหยอก เอาแค่กลับไปในสมัยของอดีตท่านผู้นำอย่าง Malcolm TURNBULL ก็พอ คือก่อนที่ TURNBULL จะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พวกธุรกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องของวีซ่าต่างๆในออสเตรเลียก็อยู่ภายใต้การดูแลของ Department of Immigration and Border Protection (DIBP) ของมันเป็นปกติ แต่พอพี่แกเข้ามาบริหารงานเท่านั้นแหล่ะ แกดันมีความคิดที่ค่อนข้างหัวโบราณ และอยากจะสงวนสิทธิ์ทุกอย่างไว้ให้คนออสเตรเลียมากกว่าที่จะแบ่งปันให้แก่ชาวต่างชาติที่ (อาจจะ) มีศักยภาพในการทำงานที่ก่อให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินมากกว่าคนออสเตรเลีย (พูดถึงเรื่องนี้ละน้าก็คันปากยิบๆ ลืมกันไปรึเปล่าว่าจริงๆแล้วแผ่นดินออสเตรเลียนั้นดั้งเดิมเป็นของพวกอะบอริจิน ใครเล่าหนาที่มาพบเจอในภายหลังแล้วใช้วิธีอะไรก็ไม่รู้เอามาเป็นของตัวเอง #เรืองนี้พูดเยอะไม่ได้เดี๊ยวเจ็บคอขอจิกกัดเบาๆก็พอละกัน555 ไม่ใช่อะไรหรอกครับมันละเอียดอ่อน ยกขึ้นมาเป็นประเด็นเพิ่มอรรถรสขำๆไปนะ ไม่เครียดน้าาาา) อดีตนายกฯคนดีท่านนี้เลยมีนโยบายผนวกเรื่องของวีซ่าเข้ากับเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศจากภัยคุกคามต่างๆ ซะอย่างนั้น ก่อให้เกิดกระทรวงใหม่ที่เรียกว่า "Department of Home Affairs (DHA)" ขึ้นมานั่นเองงงง และแต่งตั้งให้ Peter DUTTON ดูแลกระทรวงดังกล่าว อันเป็นผลให้วีซ่าต่างๆดูยากขึ้นไปหมดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจากนโยบายที่นำเรื่องของวีซ่าและผู้อพยพไปอยู่ภายใต้การดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศจากภัยคุกคามต่างๆ ซึ่งแนวคิดนี้ได้ถูกคัดค้านจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย ผู้ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพเชิงบวกของชาวต่างชาติ หรือผู้อพยพ และมีมุมมองที่แตกต่างออกไปจากอดีตนายกฯ TURNBULL และ รมต. DUTTON เพียงแต่ในเวลานั้นอดีต รมต. ท่านนี้ ไม่มีแรงสนับสนุนที่เพียงพอ ทำให้ข้อคัดค้านของท่านได้แตกพ่ายในที่สุด



ถูกต้องละครับ...อดีต รมต. ว่ากาารกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย ท่านนั้นก็คือ "นายกรัฐมนตรี Scott MORRISON" คนปัจจุบันของรัฐบาลออสเตรเลีย (คนที่ 31) นั่นเอง

พอคราวนี้หลังจากที่ท่านนายกฯ MORRISON ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ท่านก็นำความคิดที่เคยคัดค้านไว้มาใส่ในแนวทางของท่านด้วย โดยยังคงให้มีกระทรวงความมั่นคงของประเทศออสเตรเลียอย่าง Department of Home Affairs ที่ดูแลในเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยของออสเตรเลียจากภัยคุกคามต่างๆ และให้ Peter DUTTON เป็น รมต. ประจำกระทรวงอยู่เหมือนเดิม แต่ให้มุ่งเน้นในเรื่องของความปลอดภัย และจำกัดภัยคุกคามต่างๆไว้ในเรื่องของ Cyber Security, Law Enforcement, Border of Protection, และ Security Agencies

แล้วโยกธุรกรรมเรื่องของวีซ่าและอิมมิเกรชั่นต่างๆไปที่ อีกกระทรวงหนึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นอย่าง Department of Immigration, Citizenship, and Multicultural Affairs นั่นเอง และให้ David COLEMAN เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดังกล่าว...อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะยังไม่ทราบนโยบายที่แน่ชัดของท่านนายกฯ MORRISON และท่าน รมต. COLEMAN ว่าจะมีนโยบายต่อชาวต่างชาติและผู้อพยพในออสเตรเลียอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี จริงไหมครับ???



มาต่อด้วยคำถามยอดฮิตอีกประเด็นเลยครับ "ทำวีซ่าติดตามแฟนที่เป็นนักเรียน สามารถทำงานได้กี่ชั่วโมง ครับ/ค่ะ?"

  • ตามเงื่อนไขในการทำงานของคนที่ถือวีซ่าติดตามนักเรียน (Condition 8104)...คนที่ติดตามนักเรียนจะสามารถทำงานได้ไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ โดยจะสามารถเริ่มทำงานได้ก็ต่อเมื่อคนหลักที่เป็นคนเรียนได้เริ่มเรียนไปแล้วเท่านั้น
  • ข้อยกเว้น คนติดตามจะสามารถทำงานได้มากกว่า 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ ก็ต่อเมื่อคนหลักที่เป็นนักเรียนลงทะเบียน และเริ่มเรียนในหลักสูตรปริญญาโท หรือปริญญาเอกไปแล้วเท่านั้น

ไหนๆก็วนมาเรื่องวีซ่านักเรียนแล้ว ก็ไปต่อให้สุดกับเงื่อนไขการทำงานของคนที่ถือวีซ่านักเรียน (Condition 8105) เลยละกัน...ในเรื่องของชั่วโมงการทำงานก็เหมือนกับตัว 8104 เลยครับ คือสามารถทำงานได้ไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ ก็ต่อเมื่อเริ่มเรียนไปแล้ว และอยู่ในช่วง course in session เท่านั้น โดยจะสามารถทำงานได้แบบ unlimited hours ตอน course out of session ครับ
  • Course in session
    • อยู่ในช่วงระยะเวลาเรียนตามที่ระบุไว้ในเอกสารยืนยันการสมัครเรียน หรือ CoE ครับ
    • คอร์สเรียนเพิ่มเติมช่วงปิดเทอมก็เอามานับได้เหมือนกันนะ แต่คอร์สเสริมพวกนั้นจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน (และถ้าเอาให้ปลอดภัยที่สุดก็ควรจะมี CoE ยืนยันด้วยนะจ๊ะ)
  • Course out of session
    • ช่วงปิดเทอม
    • ในกรณีที่ถูกยกเลิก หรือเลื่อนคอร์สโดยสถาบันที่สอดคล้องกับ Standard 9 of the National Code of Practice for Providers of Education and Training to Overseas Students
    • จบคอร์สตาม CoE เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีระยะเวลาของวีซ่าเหลืออยู่ตามที่อิมฯได้ grant มาให้ (อันนี้ในกรณีสำหรับคนที่จะไม่เรียนอะไรต่อแล้วเท่านั้นนะครับ...ถ้าคนที่จะเรียนต่อ อย่าลืมว่าควรจะมี CoE ของคอร์สใหม่มารองรับต่อจากหลักสูตรเดิมที่จบไปภายใน 1 เดือน)
    • หลักสูตรที่ลงทะเบียนเรียนมาถูกยกเลิกจากความผิดพลาดของโรงเรียน (อันนี้ก็ไม่ใช่ว่าปล่อยไหล ไม่หาคอร์สใหม่มาแทนที่เลยนะจ๊ะ เหมือนที่เพิ่งบอกไปข้างบนเลยว่า "ควรจะมี CoE ของคอร์สใหม่ภายใน 1 เดือน")
โดยการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ ที่ว่าเนี่ยะ จะไม่นับรวมกับการทำงานที่อยู่ในรูปแบบของโปรแกรมฝึกงานที่มากับหลักสูตรที่ลงทะเบียนเรียนไป อาทิเช่น พวกหลักสูตรการทำอาหาร และการเลี้ยงเด็ก ที่มักจะมีชั่วโมงฝึกงานบังคับรวมอยู่ในหลักสูตร นอกจากนี้พวกงานอาสาสมัครต่างๆก็จะไม่นับรวมว่าเป็นการทำงานเหมือนกันนะครับ

สุดท้ายข้อยกเว้นที่นักเรียนจะสามารถทำงานได้แบบ unlimited hours ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในช่วง in  หรือ out of session ก็คือ นักเรียนคนนั้นจะต้องเรียนในหลักสูตร Master Degree by Research หรือ Doctoral Degree ในออสเตรเลียเท่านั้น แต่จะต้องรอให้เริ่มเรียนในหลักสูตรดังกล่าวก่อนนะจ๊ะถึงจะทำงานแบบ unlimited ได้ ถ้าแบบยังเรียนภาษาอังกฤษเป็นแพคเกจอยู่ ก็ทำงานได้ 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ เหมือนเดิมครับ
Source: https://www.homeaffairs.gov.au/trav/stud/more/work-conditions-for-student-visa-holders

สุดท้ายน้าหนวดต้องขอตัวลาไปก่อนในฉบับนี้ ไว้ฉบับหน้าจะเอาสาระดีๆมาเล่าสู่กันฟังให้ได้อ่านกันอีกครั้งนะจ๊ะ...สำหรับที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มติมเกี่ยวกับการเรียนต่อในออสเตรเลีย รวมถึงวีซ่าทำงาน วีซ่าทักษะ และวีซ่าครอบครัวต่างๆ ก็สามารถติดต่อ CPSydney office ได้เลยตามรายละเอียดที่อยู่ด้านล่างนี้ สะดวกช่องทางไหนก็เต๊าะกันเข้ามาได้เลยจร้าาาา #ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney

#น้าหนวด



วางแผนการเรียนอย่างถูกต้อง คำนึงถึงอนาคตที่ดีของทุกคน CPSydney สิคะ...วีซ่านักเรียน วึซ่าทำงาน และวีซ่าครอบครัวต่างๆ #AllServicesYouNeedEndHere #CPSydneyชื่อนี้มีแต่ให้



วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

MyFutureMyCP: ชุดใหญ่ไฟกระพริบ จัดให้ทีเดียว 3 สถาบันเลยละกัน!!!

MyFutureMyCP กลับมาละจร้าาาา หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปนาน น้าหนวดต้องขอโทษด้วยจริงๆ มัวแต่เอาเวลาไปเขียนบทความหลักอื่นๆอยู่ มานึกได้อีกทีก็เพิ่งจะสำเหนียกได้ว่า ไม่ได้มาเขียนแนะนำสถาบันให้หลานๆได้อ่านมานานถึง 3 เดือนแล้ว...เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉบับนี้จะจัดให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบตามที่ได้จั่วหัวข้อเลยละกันนะ

MyFutureMyCP 2018/3-5 ในฉบับนี้เราจะไปกันอย่างรวดเร็ว เพราะจะมีถึง 3 สถาบันด้วยกันที่วันนี้น้าหนวดจะมาเขียนแนะนำให้ได้รู้จักเพิ่มเติมกันไปอีก

มาเริ่มกันเลยที่สถาบันแรก Kaplan Business School (KBS)
Kaplan Business School ไม่ใช่สถาบันไก่กาอาราเล่แต่อย่างใดนะจ๊ะเด็กๆ เชื่อหรือไม่ว่า KBS เนี่ยะมีอายุอานามกว่า 80 ปีแล้ว (มากกว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งในออสเตรเลียอีกนะ555) แล้วรู้หรือไม่ว่าต้นตำรับของ KBS เนี่ยะก็ไม่ได้จากในประเทศออสเตรเลียนะจ๊ะ มาจากประเทศสหรัฐอเมริกานู่นเลย เพิ่งจะมา GRAND OPENING ในแดนจิงโจ้แห่งนี้เมื่อปี 2006 นี่เอง จนมาปัจจุบันก็สามารถขยายสาขา campus ต่างๆได้ถึง 4 แห่ง ได้แก่ Sydney, Melbourne, Adelaide, และ Brisbane ภายในระยะเวลาแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น

รู้ถึงประวัติความเป็นมาของสถาบันไปแล้ว คราวนี้มาดูต่อกันหน่อยว่า ทำไมเด็กๆถึงควรลองพิจารณาสถาบันแห่งนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของการเรียนในระดับปริญญาตรี และปริญญาโทไว้ในอ้อมใจกันดูบ้าง
  1. Affordable Tuition Fee: ถึงแม้จะมีแต่หลักสูตรปริญญาตรี และปริญญาโทเป็นหลัก แต่รู้หรือไม่ว่าที่ KBS เนี่ยะ มีค่าเทอมถูกแสนถูกเมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันอื่นๆที่เปิดสอนในหลักสูตรเดียวกัน โดยค่าเทอมของที่ Kaplan Business School จะตกอยู่ที่เพียงประมาณ A$7,xxx ต่อเทอมเท่านั้น บอกได้เลยว่าถูกมากๆถ้าเทียบคุณภาพที่จะได้รับกับสถาบันอื่นๆที่ไม่ใช่มหา'ลัย แต่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี และปริญญาโทเหมือนกัน
  2. Professional Recognition: ทุกหลักสูตรของ KBS ได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงหน่วยงานในภาครัฐฯของออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรทางด้านการบัญชีที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางด้านบัญชีในออสเตรเลียเช่นเดียวกัน ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถนำคุณวุฒิที่ได้จากทางสถาบันไปต่อยอดในการทำวีซ่า 485 และ PR ได้ในอนาคตอย่างแน่นอนครับ
  3. Expert Lecturers: คณาจารย์ผู้ที่มีทั้งคุณวุฒิที่เหมาะสม และประสบการณ์ตรงทางด้านต่างๆ
  4. Global Career Prospects: ด้วยความที่ KBS ไม่ได้เป็นที่รู้จักแค่ในสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียเท่านั้น แต่ทว่ายังเป็นที่รู้จักในอังกฤษ และหลากหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยของเราอีกด้วย ทำให้ KBS เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และมีจุดแข็งมากๆในเรื่องของ GLOBAL CONNECTIONS จากการมี partnerships มากกว่า 1,000 แห่ง จาก 30 ประเทศทั่วโลก
  5. Careers Central: หนึ่งในจุดแข็งที่ดีที่สุดของ KBS คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการให้บริการในการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการหางาน รวมถึงโปรแกรมการฝึกงานระหว่างการเรียนจาก Careers Central Team ของทางสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น workshop ต่างๆตลอดปีในทั้ง 4 campuses และการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว โดยสิทธิพิเศษนี้จะมอบให้ทั้งนักเรียนปัจจุบัน และศิษย์เก่าที่จบไปแล้ว ไม่ได้สงวนสิทธิ์ให้เฉพาะนักเรียนปัจจุบันแต่อย่างใด
รู้ข้อดีของสถาบันแล้ว คราวนี้ถ้าสนใจที่จะเรียนที่นี่ต่อจริงๆ ก็ต้องมาดูกันว่าที่ Kaplan Business School เขามีหลักสูตรอะไรให้เรียนกันบ้าง
  • Bachelor of Business in different majors:
    • Accounting
    • Finance
    • Hospitality & Tourism Management
    • Management
    • Marketing
  • Graduate Certificate in Accounting
  • Master of Professional Accounting
  • Master of Accounting
  • Graduate Certificate in Business Administration
  • Graduate Diploma of Business Administration
  • Master of Business Administration in different majors:
    • Entrepreneurship
    • International Leadership
    • Health Services Management
    • Digital Management
    • Project Management

มาต่อกันเลยที่สถาบันที่สองและสามในคราวเดียวกัน Greenwich English College (GEC) และ Greenwich Management College (GMC)
Greenwich College เนี่ยะ แบ่งย่อยออกเป็น 2 โรงเรียน ได้แก่ Greenwich English College (GEC) สำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษ และ Greenwich Management College (GMC) สำหรับการเรียนการสอนในหลักสูตรวิชาชีพ

มาเริ่มกันที่ GEC สถาบันภาษากันก่อนเลย...ด้วยความที่อยู่ยงคงกระพันในอุตสาหกรรมการศึกษาออสเตรเลียมายาวนานถึง 13 ปี กอปรกับคุณภาพการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม ทำให้ GEC ถูกจัดให้เป็น private English course provider อันดับต้นๆของออสเตรเลียเลยก็ว่าได้ (private English course provider ในที่นี้ เราจะไม่นับรวมถึงสถาบันภาษาของมหาวิทยาลัยต่างๆนะครับ) ถ้าไม่เจ๋งจริง หรือไม่ได้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง คงไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศูนย์สอบ Cambridge Exam หรอกครับ ก็เหมือนกับที่ Navitas English ได้เป็นศูนย์สอบของ IELTS นั่นแหล่ะ

นอกจากจะเปิดมานาน มีคุณภาพการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม และเป็นศูนย์สอบ Cambridge Exam ในออสเตรเลีย...GEC ยังเป็นสถาบันภาษาที่มี Cambridge course เปิดสอนเยอะที่สุดในออสเตรเลียอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ หนูๆยังสามารถเลือก GEC เป็นศูนย์สอบสำหรับการสอบ BULATS และ OET ได้อีกด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในหนึ่งปีถึงมีนักเรียนต่างชาติกว่า 1,500 คนจาก 30 ประเทศทั่วโลกถึงเลือกที่จะมาเรียนที่ GEC ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่ Sydney หรือ Melbourne ก็ตาม

ก่อนจะข้ามไปที่ GMC เรามาดูกันต่ออีกสักนิดดีกว่าว่า GEC ยังมีข้อดีอะไรอีกบ้างที่ทำให้น้องๆนักเรียนหลายๆคนถึงตัดสินใจมาเรียนที่นี่
  1. Location: อย่างที่บอกไปว่าน้องๆจะสามารถเลือกเรียนได้ทั้งที่ Sydney และ Melbourne ซึ่งนับได้ว่าเป็นเมืองใหญ่ทั้งคู่ แต่ที่ยิ่งดีไปกว่านั้นคือทั้ง 2 campus เนี่ยะ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเลย ทำให้สะดวกมากในการเดินทางไปเรียน
  2. Course articulations: น้องๆที่จบหลักสูตรภาษาจากที่ GEC จะสามารถนำผลภาษาที่เรียนจบไปใช้สมัครเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้กับสถาบันชื่อดังต่างๆ อาทิเช่น TAFE NSW, Macquarie University, University of Wollongong, Torrens University ฯลฯ
  3. Course varieties: อย่างที่บอกไปแต่แรกว่า GEC เป็นโรงเรียนภาษาที่มี Cambridge course เยอะที่สุดในออสเตรเลีย โดยจะมีตั้งแต่ระดับ Beginner ไล่ยาวไปถึง Advanced แต่อีกสิ่งที่ทำให้ GEC มีความโดดเด่นกว่าที่อื่นก็คือ พี่แกมีหลักสูตรภาษาอังกฤษให้เลือกเรียนมากถึง 17 หลักสูตรด้วยกัน
  4. Tuition fee: หลายๆคนอาจจะพอทราบว่าแต่ละหลักสูตรก็จะมีราคาค่าเรียนภาษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่ GEC เนี่ยะ ราคาเดียวกันในทุกคอร์สเลยนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นในกรณีที่อยากจะเปลี่ยนคอร์สก็สามารถเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องเสียค่าเรียนเพิ่มเติมแต่อย่างใดครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องดูความเหมาะสมของหลักสูตรที่จะย้ายไปด้วยนะครับว่าเราจะสามารถเรียนได้รึเปล่า ในกรณีที่นักเรียนบางคนอาจจะต้องเรียนหลักสูตรวิชาชีพหลังจากที่เรียนภาษาเสร็จ
จบจากโรงเรียนภาษา ก็มาซัดกันต่อเลยกับ GMC ที่สอนหลักสูตรวิชาชีพกันเลยดีกว่า...GMC เองก็จัดได้ว่าเป็นสถาบันต่อยอดน้องใหม่ที่ทาง Greenwich College ขยายแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเพิ่มเติมจาก Greenwich English College โดยให้สถาบันสอนวิชาชีพมีชื่อว่า Greenwich Management College หรือ GMC นั่นเอง ซึ่งที่ GMC เนี่ยะ น้องๆหลานๆจะสามารถเลือกเรียนได้ใน 3 ระดับชั้นการเรียนด้วย ได้แก่ Certificate IV, Diploma, และ Advanced Diploma และมีหลักสูตรวิชาชีพให้เลือกเรียนทั้งหมด 6 สาขาด้วยกัน ได้แก่
  • Business
  • Leadership and Management
  • Project Management
  • Program Management
  • Marketing and Communication
  • Event Management
ถึงแม้จะเป็นสถาบันต่อยอดน้องใหม่ แต่ก็ไม่ได้อ่อนประสบการณ์อย่างที่คิดนะครับ อย่าลืมว่าอันนี้มันไม่ใช่โรงเรียนเปิดใหม่ไก่กาอาราเล่ มันเป็นโรงเรียนที่ได้รับการต่อยอดขยายกิ่งก้านสาขาเพิ่มช่องทางทางการตลาดให้กับตัวเอง ทำให้ GMC ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะ Grand Opening เปิดให้น้องๆได้เรียนในเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดี๋ยวเรามาดูกันว่า GMC มีข้อดีอะไรเพิ่มเติมอีกบ้างที่ทำให้น้าหนวดแนะนำให้หลานๆรู้จัก และลองพิจารณาเก็บไว้ในอ้อมใจกันดู
  1. Flexible timetable: มีทั้งแบบไปเรียนวันเดียวเต็มวัน หรือจะเอาแบบเรียนครึ่งวัน 2 วันก็ได้ เพราะฉะนั้นก็จะค่อนข้างมีเวลาให้ได้ใช้สอยตามอัธยาศัยกันพอสมควรเลยครับ
  2. Cheap tuition fee: เชื่อหรือไม่ว่า ค่าเทอมของที่ GMC มีสนนราคาอยู่แค่เพียง A$1,000/term เท่านั้น ถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้วจริงๆ
  3. Scholarship availability: อันนี้เรียกได้ว่าแปลกสุดๆไปเลย เพราะปกติพวกทุนการศึกษาเนี่ยะ จะมีเฉพาะในสถาบันที่สอนพวกหลักสูตรปริญญาตรีขึ้นไปทั้งนั้น แต่นี่มีทุนการศึกษามูลค่า A$2,000 ให้กับน้องๆที่เรียนในระดับ Advanced Diploma ด้วยนะจ๊ะ
  4. Industry engagement and Internship opportunities:
สำหรับฉบับนี้น้าหนวดต้องขอลาไปก่อน ไว้เดี๋ยวในฉบับหน้าจะมาเล่าอะไรให้ฟังก็ต้องลองติดตามอ่านกันดูนะครับ...หากใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อมาที่ CPSydney office ได้ทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ +61 2 9267 8522 หรือจะทักมาหากันที่ Facebook Page ของทางบริษัทก็สามารถทักกันมาได้ที่ www.facebook.com/cpsyd


#ด้วยความปรารถนาดีจากCPSydney
#น้าหนวด